DNA ล้มแผนซื้อ”เพย์นาว-ไทยคอลเซ็นเตอร์ฯ”

ดีเอ็นเอฯเลิกซื้อหุ้น เพย์นาว และ ไทย คอล เซ็นเตอร์ เซอร์วิส ระบุผู้ขายไม่ทำตามเงื่อนไขที่สำคัญภายในเวลาที่กำหนด หากลงทุนไปจะไม่ได้ประโยชน์ตามแผนที่วางไว้

บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 (DNA)เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหารบริษัทฯ มีมติยกเลิกการเข้าลงทุนในบริษัท เพย์นาว (Paynow) และบริษัท ไทย คอล เซ็นเตอร์เซอร์วิส (TCC) ซึ่งเคยเปิดเผยข้อมูลเมื่อวันที่ 24 กันยายน และวันที่ 14 ธันวาคม 2561 ตามลำดับนั้น เนื่องจากจนถึงปัจจุบัน ทางผู้ขายหุ้นของ Paynowและ TCC ไม่สามารถดำเนินการตามเงื่อนไขที่เป็นสาระสำคัญอย่างยิ่งตามที่ตกลงกันได้ภายในกำหนดเวลา หากบริษัทเข้าลงทุนจะส่งผลให้บริษัทไม่สามารถได้รับประโยชน์จากการเข้าลงทุนตามแผนที่กำหนดไว้

สำหรับบริษัท เพย์นาว ดำเนินธุรกิจรับชำระเงินค่าบริการและค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Capture :EDC) และรับชำระเงินผ่านระบบแอพพลิเคชั่น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการลงนามในสัญญากับหน่วยงานภาคราชการ ภาครัฐวิสาหกิจโดยเฉพาะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทางด้านสาธารณูปโภคหลายหน่วยงาน และภาคเอกชน ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน หากบริษัทลงทุนจะได้รายได้ค่าบริการและค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากหน่วยงานต่างๆ โดยจะซื้อหุ้นจำนวน 3 แสนหุ้น คิดเป็น 30% ของทุนเรียกชำระแล้วในราคามูลค่าที่ตราไว้(พาร์) 100 บาทต่อหุ้น มูลค่ารวม 30 ล้านบาท จากนายวงศ์วริศ ศุภปฐวีพงศ์ ขณะที่ Paynow ยังไม่ได้ประกอบธุรกิจใดๆ และไม่มีภาระหนี้สิน

ส่วนบริษัท ไทย คอล เซ็นเตอร์เซอร์วิส ให้บริการข้อมูลทางโทรศัพท์แทนลูกค้า (Call Center) โดยจะให้ข้อมูล ตอบข้อซักถาม เสนอแนะและประชาสัมพันธ์ข้อมูลต่างๆ ของลูกค้าที่เป็นภาครัฐ ภาครัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน บริษัทฯจะซื้อหุ้นจำนวน 135,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 45% ในราคาพาร์ 100 บาท มูลค่ารวม 13.5 ล้านบาทจากนางจรัสศรี แช่เตียว

ทางฝั่งการขายทรัพย์สิน ก่อนหน้านี้ ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเห็นว่าบริษัทฯจะขายหุ้นทั้งหมดของ บริษัท ดีเอ็นเอ รีเทล ลิ้งค์ จำกัด (DRL)ในราคา 168 ล้านบาท ให้แก่ บริษัท บานาน่า กรุ๊ป(Banana) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท คอมเซเว่น ถือว่าไม่เหมาะสมและผู้ถือหุ้นไม่ควรอนุมัติให้บริษัทขายหุ้น

ขณะเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอให้ผู้ถือหุ้น DNA ศึกษาข้อมูลในวาระนี้และไปใช้สิทธิออกเสียงในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 ธันวาคม 2561 ทั้งนี้ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนโดยไม่นับส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีส่วนได้เสีย