HoonSmart.com>> 5 บริษัทบริหารสินทรัพย์ ปรับกลยุทธ์บริหารหนี้เสียครั้งใหญ่ จากการเร่งเก็บ เร่งฟ้องคดี สู่การฟื้นฟูเอ็นพีแอลอย่างยั่งยืน ยึดหลักให้โอกาส ผ่านลดต้น ลดดอก ปรับโครงสร้างหนี้เฉพาะราย ใช้เทคโนโลยีช่วยให้เข้าถึงง่ายขึ้น เน้นทุกฝ่ายได้ประโยชน์

ในงาน”พลิกฟื้นสินทรัพย์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” ช่วงเสวนาหัวข้อ”ผนึกกำลังขุนพล AMC กู้วิกฤตหนี้ท่วมระบบ” จัดโดย บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM)
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) หรือ แบม กล่าวถึงกลยุทธ์การระบายทรัพย์สินด้อยคุณภาพ (NPA) ว่า ยึดแนวคิด “Ecosystem Builder” สร้างระบบนิเวศผ่านโมเดลพันธมิตร “Partnership Model”เพราะแบม เป็นเอเอ็มซีรายใหญ่ที่สุด
สำหรับทรัพย์สินมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาท ใช้โมเดล “66” โดยแบ่งเป็น 6 เดือนแรกให้ผู้ซื้อรายย่อยเข้าถึงทรัพย์ได้โดยแทบไม่มีต้นทุน และ 6 เดือนหลังคิดดอกเบี้ยต่ำเพื่อเร่งการขาย ก่อนโอนตรงไปยังผู้ซื้อปลายทาง
ทรัพย์สินมูลค่า 3–20 ล้านบาท และทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น ที่ดินมูลค่า 50 ล้านบาท ใช้พันธมิตรที่มีขนาดเหมาะสมในการร่วมพิจารณา
รวมถึง ทำหน้าที่เป็น “Big Buyer” ในตลาด โดยเปิดโอกาสให้เอเอ็มซีรายย่อยเข้ามาซื้อทรัพย์ไปต่อยอดธุรกิจได้
ด้านการปรับโครงสร้างหนี้ เน้นให้โอกาสลูกหนี้มากกว่าการแสวงหาผลกำไรระยะสั้น เน้นทางรอดลูกค้ามาอันดับแรก จึงลดทั้งต้น และดอกเบี้ย จึงเปลี่ยนบทบาทตัวเองจากผู้ใช้กฎหมาย มาเป็น ผู้ดูแลที่เน้นการประคองลูกหนี้ให้สามารถลุกขึ้นยืนได้ ให้มีโอกาสเริ่มต้นใหม่ แม้เคยล้มเหลวมาก่อน
มีการเปลี่ยนตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPI) จากยอดเรียกเก็บ มาเป็นจำนวนคนที่ได้รับการช่วยเหลือ เช่น “ช่วยคนได้กี่คน” หรือ “กี่ล้านคน” มากกว่ามองที่มูลค่าทางการเงิน
มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยให้ลูกหนี้เข้าถึงการปรับโครงสร้างหนี้ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องอายในการเปิดเผยปัญหาหนี้สิน เช่นแอปพลิเคชัน การ choice สามารถเลือกกำหนดการจ่าย เลือกบ้าน หรือหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ตามความต้องการ ใช้แชตบอทและระบบออนไลน์เพื่อให้ลูกหนี้สามารถติดต่อได้สะดวก โดยไม่ต้องเดินทางหรือพูดซ้ำถึงปัญหาหนี้
นายกฤษณพงศ์ กิจสนาพิทักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานบริหารหนี้ของบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) หรือ แซม กล่าวว่า บริษัทฯมุ่งเน้นการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างจริงจัง และทำหน้าที่เป็นตัวกลางสำคัญในการรวมหนี้จากหลายสถาบันการเงิน เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ภายใต้หลักการ ให้คำปรึกษา ให้เวลา และให้โอกาส โดยถือว่า “เวลา” เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการฟื้นฟูลูกหนี้ และทำตัวเป็น เพื่อนร่วมแก้ไขปัญหา มากกว่าเป็นเจ้าหนี้ ซึ่งช่วยให้ลูกค้ากล้าเปิดเผยข้อมูลและปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เข้าใจลูกค้า แล้วจึงวางแนวทางแก้ไข
ในการปรับโครงสร้างหนี้เสีย จะประเมินความสามารถในการหารายได้ของลูกค้า รวมถึงระยะเวลาที่ลูกค้าต้องการใช้ในการฟื้นตัว,มีการคำนวณรายได้ รายจ่าย และยอดผ่อนชำระ เพื่อให้ลูกค้ามีเงินเหลือสำหรับดำรงชีพ และสามารถชำระหนี้ได้อย่างต่อเนื่อง
บริษัทฯ ยังได้จัดโครงการส่งเสริมการชำระหนี้ เช่น ปรับตัว ปรับใจ หากลูกค้าปรับตัวได้ดีตามเงื่อนไข จะได้รับการลดดอกเบี้ย เพื่อสร้างแรงจูงใจและวินัยทางการเงิน, เข้าร่วมกับกรมบังคับคดีในการไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง เพื่อให้ลูกหนี้มีโอกาสแก้ไขปัญหาโดยไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย
กรณีที่ ได้รับมอบหมายจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้เป็นตัวกลางในการรวมหนี้จากสถาบันการเงินกว่า 36 แห่ง นั้นมีโครงการรวมหนี้ช่วยลดภาระการผ่อนชำระจากขั้นต่ำ 8% ต่อเดือน เหลือเพียงประมาณ 1.2% เช่น จาก 8,000 บาท/เดือน เหลือเพียง 1,200 บาท/เดือน
อัตราดอกเบี้ยประมาณ 4–5% พร้อมทางเลือกผ่อน 3 ระดับ ได้แก่ ผ่อนน้อย ผ่อนกลาง และผ่อนมาก
การปรับโครงสร้างหนี้และการลดภาระการผ่อนชำระช่วยให้ลูกค้ามี พื้นที่ในการหายใจ สามารถนำเงินส่วนที่เหลือไปใช้ในการบริโภคหรือเป็นทุนต่อยอดธุรกิจได้
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซส (JMT) ระบุว่า JMT ทำหน้าที่เสมือน “เครื่องยนต์” ในวงจรการบริหารจัดการหนี้เสียของประเทศ โดยมีบทบาทสำคัญในการดูแลและฟื้นฟูลูกหนี้ให้กลับมาเป็นลูกค้าดีอีกครั้ง
ปัจจุบัน JMT ดูแลหนี้เสียรวมประมาณ 500,000 ล้านบาท แยกเป็นหนี้มีหลักประกัน 8% ของยอดหนี้ทั้งหมด และ หนี้ไม่มีหลักประกัน เช่น บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล คิดเป็น 92% ครอบคลุมกว่า 7 ล้านบัญชี ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชากรราว 5 ล้านคน
การปรับโครงสร้างหนี้ จะให้ลูกค้าค่อย ๆ ผ่อนจ่ายตามความสามารถ แบบรายเดือน รายสองเดือน หรือรายสามเดือน สามารถฟื้นฟูลูกค้าให้กลับมาเป็นลูกค้าดีได้แล้วกว่า 500,000 คน
สำหรับหนี้ที่มีหลักประกัน JMT ดำเนินการภายใต้หลักเกณฑ์ของการยึดทรัพย์และการไกล่เกลี่ยอย่างเป็นระบบ
นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ ชโย ( CHAYO) กล่าวว่า ในการบริหารสินเชื่อ บริษัทฯมีการแบ่งหนี้ออกเป็น 2 ประเภท คือ หนี้ที่มีหลักประกัน มีประมาณ 20,000 ล้านบาท และหนี้ที่ไม่มีหลักประกันประมาณ 8,500 ล้านบาท รวม 1 ล้านบัญชี เน้นการปรับโครงสร้างหนี้รายบุคคล ให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ ใช้การสื่อสารผ่านอีเมล ร่วมกับการใช้คน เครื่องมือ และกระบวนการที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคน
ความพยายามของรัฐบาล ในการดำเนินมาตรการที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อ ทั้งการช่วยแก้หนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท ที่มีร่วม 3.7 ล้านบัญชี ซึ่งมีคนที่เกี่ยวข้องกับคนเป็นหนี้ในกลุ่มนี้ร่วม 10 ล้านคน ผนวกกับการซื้อหนี้ก้อนใหญ่ แล้วให้หน่วยงานอื่นไปจัดการต่อ การควบคุมการปล่อยสินเชื่อใหม่อย่างรับผิดชอบ จะช่วยให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น
นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไนท์ คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง (KCC) เปิดเผยถึงแนวทางการบริหารจัดการหนี้เสียของบริษัท โดยเน้นการปรับโครงสร้างหนี้ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างหนี้บ้าน (Housing Loan) และหนี้ธุรกิจ (Corporate Loan) เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของลูกหนี้และเป้าหมายในการฟื้นฟูทางการเงิน
กลยุทธ์การปรับโครงสร้างหนี้บ้าน มีการปรับลดอัตราผ่อนชำระชั่วคราว เช่น ลดจาก 10,000 บาทเหลือ 5,000 บาท เพื่อให้ลูกหนี้สามารถอยู่ในระบบได้ ให้เวลา 3 ปี หากได้รับเงินก้อน ให้นำมาตัดเงินต้น เพื่อลดภาระดอกเบี้ยและเร่งการปลดหนี้ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดจากระบบการเงินที่ทำให้ลูกหนี้แม้จะรักษาเครดิตครบ 3 ปี ก็ยังเข้าถึงสินเชื่อใหม่ได้ยาก
ด้านการปรับโครงสร้างหนี้ธุรกิจ จะมีการปรับแผนให้เหมาะสมกับแต่ละราย ให้ส่วนลดทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เพื่อช่วยให้ลูกหนี้สามารถรีไฟแนนซ์หรือชำระหนี้ได้,เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน วิเคราะห์ปัญหาเชิงลึก เช่น การลงทุนเกินตัว หรือโครงสร้างธุรกิจที่ไม่สมดุล ในบางกรณี KCC อาจต้องใส่เงินทุนเพิ่มเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ลูกหนี้ เนื่องจากลูกหนี้ NPL ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ทั่วไปได้ รวมถึงปล่อยเงินกู้ เช่น โครงการที่สร้างไปแล้ว 90% แต่ขาดทุนอีก 10% เพื่อให้โครงการเสร็จและขายได้ โดยหัวใจสำคัญคือการ เปิดช่องทางให้ลูกหนี้สามารถกลับเข้าสู่ระบบสินเชื่อใหม่ได้อย่างยั่งยืน เป็นการบริหารแบบ Solution และ Win-Win ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ทั้งสถาบันการเงินและลูกหนี้
