HoonSmart.com>>เมดีซ กรุ๊ป เปิดแนวทางใหม่ในการรักษาโรคความเสื่อมผ่านสเต็มเซลล์ ชูจุดแข็ง 1 ยารักษาโรคหลายชนิด คาดปี’69 รู้ผล สร้างแรงกระเพื่อมในวงการเทคโนโลยีชีวภาพโลก
น.พ.วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานกรรมการ บริษัท เมดีซ กรุ๊ป (MEDEZE) กล่าวในงานเสวนา”กลยุทธ์โค้งสุดท้าย พร้อมรับมือโลกใหม่” จัดโดย บล.บียอนด์ ว่า บริษัทฯ กำลังพัฒนาสเต็มเซลล์ที่สามารถนำไปใช้รักษาโรคความเสื่อมได้โดยจะครอบคลุม โรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์,โรคหัวใจขาดเลือดและหัวใจตาย,โรคปอดพังผืด,โรคไตเสื่อมและตับแข็ง โรคข้อเข่าและข้อสะโพกเสื่อม
“นี่ไม่ใช่พาราเซตามอลที่รักษาได้แค่ไข้หรือปวดหัว แต่เป็นผลิตภัณฑ์เดียวที่ตอบโจทย์ทุกโรคความเสื่อม” น.พ.วรพล กล่าว
น.พ.วรพล กล่าวว่า แม้การวิจัยสเต็มเซลล์จะมีโอกาสสำเร็จต่ำในเชิงสถิติ แต่หากมีเป้าหมายชัดเจน ก็สามารถสร้างรากฐานให้กับอนาคตได้อย่างมั่นคง พร้อมกับแนะนำว่า การลงทุนที่ดีที่สุดวันนี้ คือการเก็บสเต็มเซลล์ของตัวเองไว้ก่อน เพื่อใช้ในอนาคตเมื่อผลิตภัณฑ์ได้รับการขึ้นทะเบียนยา ก็สามารถนำไปผลิตเป็นยาๆด้
สำหรับ นักลงทุนที่จับตาโอกาสในธุรกิจนี้ ควรรอจังหวะสำคัญในปี 2569 ในวันที่บริษัทฯ จะมีการประกาศรับสมัครงานวิจัย,การเปิดเผยผลงานวิจัย และการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เป็นยา ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร
ด้านความก้าวหน้าการปลูกผมด้วยเทคโนโลยีเซลล์รากผม ที่สามารถสร้างเส้นผมใหม่จากเพียง 50 เส้น สามารถทำให้ เส้นผมใหม่งอกขึ้นมาได้เลย นับเป็นนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นโดยคนไทย แตกต่างจากคลินิกทั่วไปมักทำการย้ายผมที่มีอยู่ที่เป็นการปลูกผมแบบเดิม
นวัตกรรมทางการแพทย์ของไทยมีศักยภาพในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำในระดับโลกได้ โดยอาศัยความก้าวหน้าด้านการวิจัยและพัฒนาของตัวเอง และความมุ่งมั่นที่จะยกระดับประเทศให้เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ระดับสูง
“เรากำลังสร้าง Engine ใหม่ให้กับประเทศ ผ่านนวัตกรรมที่เป็นของเราเอง จากที่ผ่านมาไทยไม่เคยผลิตยาที่เป็นของตัวเอง” น.พ.วรพล กล่าว
น.พ.วรพล กล่าวถึง อนาคตของ เทคโนโลยีชีวภาพ และ เวชสารสนเทศชีวภาพ( Bioinformatics) ปี 2569 ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะ AI Bioinformatics จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการวินิจฉัยและการพัฒนายา ซึ่งอาจนำไปสู่การควบคุมข้อมูลด้านสุขภาพทั่วโลกผ่านการจดสิทธิบัตรยาใหม่ๆ ที่สร้างโดย AI
ไทย กำลังผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพด้วยการพัฒนา ยาเฉพาบุคคล และ ผลิตภัณฑ์เซลล์บำบัดขั้นสูง เช่น การสร้างธนาคารเซลล์ และการริเริ่มผลิตยารักษาโรคข้อเข่าเสื่อมจากสเต็มเซลล์ไขมันในประเทศเป็นครั้งแรก
ถ้าไทยไม่ทำ ในอนาคตคนที่เป็นเจ้าของข้อมูลพันธุกรรมของคนไทย อาจถูกควบคุมโดยต่างชาติ ในยุคที่ AI แพลตฟอร์มจะถูกนำมาใช้เพิ่มมากขึ้นในการช่วยรักษาโรคและการวินิจฉัยโรค
ปัจจุบัน หากนำอาการของผู้ป่วยรวมกับผลเลือด แล้วใช้ GPT (Generative Pre-trained Transformer) จะสามารถวินิจฉัยได้ดีกว่าแพทย์ โดย AI สามารถอ่านเอกสารและหนังสือทางการแพทย์ได้ทั้งหมดทั่วโลก ซึ่งช่วยแก้ไขข้อจำกัดของแพทย์ที่โดยปกติแล้วจะสามารถอ่านงานวิจัยได้มากสุดเพียง 100 เปเปอร์เมื่อทำวิจัย
ปัจจุบัน แพทยสภากำลังจัดทำบทบัญญัติใหม่เกี่ยวกับวิชาชีพแพทย์ในการนำ AI เข้ามาสนับสนุนการทำงาน โดยท้ายที่สุดแล้วการตัดสินใจทางการแพทย์จะไม่เคยขัดแย้งกับ AI เลย มักจะอนุมัติไปตาม AI ตลอด
นอกจากนี้ มีการใช้ AI ในรูปแบบ ฟรีซอฟต์แวร์มากขึ้น ซึ่งหมายความว่าข้อมูลของทุกคนจะอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ผลิต AI ผู้นำระดับโลก ผู้เล่นรายใหญ่คงต้องการควบคุมข้อมูลทางการเงินและข้อมูลทางการแพทย์ของไทยทั้งหมด
ขณะที่ประเทศใหญ่อย่างจีน อินเดีย หรือสิงคโปร์ ไม่ยอมให้ยีนออกนอกประเทศ แต่ปัจจุบันงานวิจัยของไทยกลับมีเลือดของคนไทยถูกนำออกไปต่างประเทศเกือบหมด ซึ่ง ณ ขณะนี้ มีเลือดของคนไทยเกือบล้านโดสอยู่ที่จีนแล้ว
ดังนั้น จึงมีความพยายามในประเทศไทยในการผลักดันกฎหมายเพื่อ ควบคุม (Regulate) ธนาคารเซลล์และพันธุกรรม โดยมีเป้าหมายคือ ไม่ให้ชาวต่างชาติเข้ามาถือครอง Genetic ในประเทศไทย และผลักดันให้มีการทำยาใหม่ในประเทศอย่างจริงจัง ซึ่งบางบริษัทหวังที่จะเป็นคนแรกที่ทำยาใหม่ให้ประเทศ
AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างและจดสิทธิบัตร บริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI ทางด้าน Health care ใหม่ๆ กำลังจดสิทธิบัตรอย่างรวดเร็ว สามารถเขียนสิทธิบัตรได้ภายในไม่ถึง 3 นาที เป้าหมายคือการจดสิทธิบัตรทุกความเป็นไปได้ ทำให้ในอนาคต ทุกการรักษาและยาทั้งหมดจะทำให้คนทั่วโลกต้องจ่ายเงินไปที่สหรัฐอเมริกาที่เป็นเจ้าของ AI ด้านนี้
น.พ.วรพล มองแนวโน้มเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) และยาเทคโนโลยีชีวภาพ ประกอบด้วย 5 สาขาหลัก ได้แก่ Health Care, Agriculture, Industrial, Nature, และ Informatic
ในด้านการแพทย์ เทรนด์สำคัญกำลังมุ่งไปสู่ยาที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นดีขึ้น แต่เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นแนวทางในช่วงแรกอาจเป็นการทำยาที่มุ่งเป้าสำหรับแต่ละทวีปหรือแต่ละประเทศแทน
การทำยาแบบผลิตจำนวนมาก จะไม่สามารถแข่งขันกับต่างชาติได้เนื่องจากปัญหาด้านต้นทุนและขนาดการผลิต
เทรนด์กำลังมุ่งไปสู่ผลิตภัณฑ์บำบัดขั้นสูง เช่น เซลล์บำบัด (Stem Cell) และ CAR T-cell ซึ่งเป็นยาที่ต้องมีความเฉพาะเจาะจง
ตัวอย่างเช่น CAR T-cell ได้รับการอนุมัติจาก FDA แล้วในสหรัฐอเมริกา และมีการพัฒนาในไทยที่มหิดลและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยโดสหนึ่งในการรักษาคนไข้ที่ไทยอยู่ที่ 4 ล้านบาท ขณะที่สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 20 ล้านบาท/โดส
การรู้รหัสพันธุกรรม จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยสามารถนำมาใช้ในการช่วยเหลือและทำลายบุคคลได้
ดังนั้น ภาคอุตสาหกรรม พยายามผลักดันกฎหมายควบคุมเกี่ยวกับธนาคารเซลล์และพันธุกรรม (Genetic) เพื่อไม่ให้ชาวต่างชาติมาถือครองพันธุกรรมของประเทศไทย
ในกรณี ที่จะลงทุนในระยะยาว แนะนำให้ลงทุนใน บริษัทที่ใช้ Data, AI และจดสิทธิบัตร อย่างต่อเนื่อง
