5 โบรกฯฟันธง ! SCC ไตรมาส 3/68 ขาดทุน ธุรกิจปิโตรฯฉุด-แบกขาดทุน LSP

HoonSmart.com>> 5 โบรกเกอร์ฟันธง ! SCC ไตรมาส 3/68 ขาดทุนในช่วง 81-515 ล้านบาท แรงฉุดจากธุรกิจปฺิโตรเคมี, โรง Longson Petrochemical (LSP) แบกขาดทุนเพิ่มหลังกลับมาเปิดผลิต และการไม่มีกำไรพิเศษ ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์ยังขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนไตรมาส 4/68 มีแนวโน้มฟื้นตัวจากธุรกิจซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ พร้อมห้ราคาเป้าหมายสูงสุด 290 บาท ล่าสุดหุ้น SCC ลบ 2.29% มาที่ 213 บาท

เมื่อเวลา 14.55 น.หุ้น SCC ลบ 2.29% มาที่ 213 บาท ลดลง 5 บาท มูลค่าซื้อขาย 1.026.56 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 217 บาท ขึ้นสูงสุด 218 บาท และต่ำสุด 213 บาท

บล.กรุงศรี แนะ”ถือ”หุ้น บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) มอง Negative ต่อแนวโน้มขาดทุนสุทธิไตรมาส 3/2568 ราว -367 ล้านบาท พลิกขาดทุน YoY, QoQ และต่ำกว่าที่เคยประเมินฉุดจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ผลกระทบสงครามการค้า ฉุด spread มากกว่าคาด และโรง LSP แบกขาดทุนเพิ่มหลังกลับมาเปิดผลิต ทั้งนี้ ปรับลดกำไร 2568-2570 ลง ตามการปรับลด product spread ที่การแข่งขันสูงกว่าคาด แต่การลด CAPEX ได้ดีกว่าคาด สามารถกลับผลกระทบดังกล่าวได้ พร้อมปรับราคาเป้าหมายปี 2568 ขึ้นเป็น 202 บาท/หุ้น (เดิม 175 บาท/หุ้น) และราคาเป้าหมายปี 2569 ที่ 218 บาท ตามกระแสเงินสดที่ดีขึ้นจากบริษัทลด CAPEX ได้มากกว่าคาดกลบกำไรที่ต่ำคาดในระยะสั้น และคงมุมมอง SCC เป็นหนึ่งในผู้อยู่รอดช่วง Down cycle ของปิโตรเคมีสามารถถือรอรับการฟื้นตัวในระยะยาว

ทั้งนี้ คาดไตรมาส 3/2568 ขาดทุนสุทธิราว -367 ล้านบาท (+721 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2567 และ +17,337 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568) แย่ลง QoQ มาก เพราะไม่มีกำไรพิเศษจาก CAP ราว 1.7 หมื่นล้านบาท (one-time items) หากตัดรายการพิเศษออก คาดขาดทุนปกติราว -479 ล้านบาท (-142 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2567 และ +2,936 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568)ต่ำกว่าที่เคยประเมิน และแย่ลง YoY, QoQ เพราะธุรกิจปิโตรเคมี เผชิญผลกระทบสงครามการค้า ทำให้การแข่งขันสูงกว่าคาด ปรับราคาขายตาม feedstock ได้ยาก ฉุดอัตรากำไรทั้งโรงผลิตในไทย และ Long Son/LSP ในเวียดนาม โดยสำหรับ LSP ยังมี NRV loss จากราคาขายที่ลดลงในช่วงปลายงวด (อาจกลับรายการได้หากราคาขายดีขึ้นในไตรมาส 4)และค่าใช้จ่ายการกลับมาเปิดผลิตราว 325 ล้านบาท ฉุด ธุรกิจซีเมนต์ฟื้นตัวได้ YoY จาการปรับราคาขายและแรงหนุนโครงการรัฐ แต่ไม่พอกลบปิโตรเคมี ส่วน q-q ลดลงจากเป็น low season โดยเฉพาะฝั่งวัสดุก่อสร้าง และไม่มีปันผลโตโยต้ามาหนุนเหมือนไตรมาส 2/2568

พร้อมปรับลดกำไรปกติ 2568-2570 ลง-50%, -23% และ -8% เป็น 6,329 ล้านบาท, 16,582 ล้านบาท และ 25,029 ล้านบาท ตามลำดับ ปรับลงจากธุรกิจปิโตรเคมีที่สงครามการค้า ส่งให้ oversupply หนักกว่าคาด ปรับราคาขายได้ยากกดดัน spread รวมถึงมีแนวโน้มที่จะเห็นการเลื่อนปิดซ่อมโรง MOC ขึ้นมาเร็วขึ้น ซึ่งทั้งหมดกลบการปรับเพิ่มกำไรธุรกิจซีเมนต์ที่อัตรากำไรสูงกว่าคาด

ทั้งนี้ คาดไตรมาส 4/2568 พลิกกลับมามีกำไรปกติ ฟื้นทั้ง YoY, QoQ (ไตรมาส 4/2567 -1,579 ล้านบาท) ฟื้นYoY เพราะธุรกิจซีเมนต์ปริมาณขายเพิ่มทั้งในและต่างประเทศตามโครงการรัฐ รวมถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์ปริมาณขายในอินโดฯฟื้นตัว ส่วนการฟื้น QoQ เพราะธุรกิจปิโตรเคมี อัตรากำไรฟื้นหลังจีนเริ่มกลับมา re-stock และไม่มีผลกระทบ NRV loss จาก LSP เหมือนไตรมาส 3/2568 รวมถึงโรง LSP run optimize มากขึ้น ทำให้แบกขาดทุนลดลง, ธุรกิจซีเมนต์โครงการรัฐเร่งตัว และมีเงินปันผลโตโยต้ามาหนุน

บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาด SCC ผลประกอบการไตรมาส 3/2568 พลิกเป็นขาดทุนปกติ 515 ล้านบาท จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่อ่อนแอลง โดยส่วนต่าง HDPE และ Naphtha ในไตรมาส 3/2568 ลดลงมาอยู่ที่ 332 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน -9% QoQ จากภาวะ Oversupply ยังมีอยู่ ขณะเดียวกันต้นทุนวัตถุดิบแนฟทาที่สูงขึ้นชั่วคราว นอกจากนี้คาดรับรู้ขาดทุนจาก LSP เพิ่มขึ้นหลังกลับมาเดินเครื่องในช่วง Spreads อ่อนแอ ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง

หากประมาณการ ไตรมาส 3/2568 เป็นไปตามคาด แม้จะเชื่อว่าผลประกอบการ ไตรมาส 4/2568 จะฟื้นตัวแต่ประมาณการทั้งปีดูมี downside อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดของบริษัทยังมั่นคงแข็งแรง ยังคงราคาเป้าหมาย 220 บาท ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมากว่า 40% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ upside แคบลง ประกอบกับภาพระยะสั้นไม่สดใสนัก จึงลดคำแนะนำเป็น “ถือ”

บล.บัวหลวง คาดกำไรหลักของ SCC ในไตรมาส 3/68 จะอยู่ที่ 716 ล้านบาท (พลิกกลับ YoY แต่ลดลง 77% QoQ) แต่คาดบริษัทจะรายงานขาดทุนสุทธิ 81 ล้านบาท (พลิกกลับ YoY และ QoQ จากกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2567 และไตรมาส 2/2568) ผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจซีเมนต์ และวัสดุก่อสร้างและธุรกิจบรรจุภัณฑ์เป็นปัจจัยหลักที่หนุนการฟื้นตัว YoY ในขณะที่ผลการดำเนินงานของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ลดลง QoQ และการไม่มีกำไรพิเศษ (มีการรับรู้กำไรพิเศษจำนวนมากในงบการเงินไตรมาส 2/2568) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผลประกอบการสุทธิลดลง QoQ

กำไรของธุรกิจเคมิคอลส์ในไตรมาส 3/2568 มีแนวโน้มลดลงทั้ง YoY (จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้น) และ QoQ (จากส่วนต่างราคาปิโตรเคมีที่ลดลง, ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นของโรงงาน Long Son Petrochemicals (LSP), และคาดว่าจะมีการบันทึกขาดทุนจาก NRV) ในทางตรงกันข้าม ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มจะรายงานกำไรเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ (ปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นและราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้น)ขณะที่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์คาดว่าจะรายงานกำไรหลักเพิ่มขึ้นYoY (ลดลง QoQ ตามฤดูกาล) ในไตรมาส 3/2568 หนุนโดยกำไรที่ดีขึ้นของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร

อย่างไรก็ดี คาดผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4/2568 (แนวโน้มที่แข็งแกร่งขึ้นของธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างและธุรกิจบรรจุภัณฑ์ รวมถึงผลประกอบการของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ดีขึ้น) น่าจะหนุนราคาหุ้นต่อไป ราคาหุ้นปัจจุบันของ SCC ที่อยู่ในระดับต่ำเป็นโอกาสในการทยอยสะสมก่อนการฟื้นตัวในไตรมาส 4/68 พร้อมแนะนำ”ซื้อ”ให้ราคาเป้าหมาย 290 บาท

บล.ทิสโก้ มองว่า กำไรในไตรมาส 3/2568 ที่จะถึงนี้ของ SCC อาจเป็นปัจจัยลบต่อราคาหุ้น บริษัทมีแนวโน้มที่จะรายงานผลขาดทุนในไตรมาสนี้ เนื่องจากไม่มีกำไรจากการขายครั้งเดียวที่เกี่ยวข้องกับ Chandra Asri (CAP) จำนวน 1.67 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจะมีขาดทุนสุทธิหลังหักภาษี (NRV) กำไรหลักน่าจะอ่อนตัวลงจากมาร์จิ้นที่อ่อนตัวลงจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ ต้นทุนเริ่มต้นของ Longson Petrochemical (LSP) และรายได้จากเงินปันผลตามฤดูกาลที่ลดลง คาดการณ์ว่า SCC จะรายงานผลขาดทุนในไตรมาส 3/2568 ที่ 401 ล้านบาท เทียบกับกำไร 1.73 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 2/2568 และ 721 ล้านบาทในไตรมาส 3/2567

แม้ว่ากำไรของ SCC อาจฟื้นตัวในไตรมาส 4/2568 เนื่องจากรายได้จากเงินปันผลตามฤดูกาล และการกลับรายการขาดทุนสุทธิ (NRV) ที่อาจเกิดขึ้น แต่การดำเนินงานโดยรวมอาจยังคงท้าทาย มาร์จิ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์ยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยมาร์จิ้นของ HDPE-แนฟทาอยู่ที่ 326 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน เทียบกับค่าเฉลี่ยใน ไตรมาส 3/2568 ที่ 332 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน การปรับปรุงใดๆ ของการดำเนินงาน CBM อาจน้อยมาก เนื่องจากความต้องการอาจยังคงได้รับผลกระทบจากวันหยุดยาว และสภาพอากาศฝนตกทั่วประเทศไทยและภูมิภาค

ทั้งนี้ ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2568 หลังจากรวมกำไรพิเศษที่เกี่ยวข้องกับ CAP ที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้ในไตรมาส 2/2568 อย่างไรก็ตาม เราได้ปรับลดประมาณการกำไรปี 2569-2570 ลง 14% เพื่อสะท้อนถึงความต้องการ CBM ที่ลดลง มูลค่าที่เหมาะสมอ้างอิง SOTP กลางปี 2569 เพิ่มขึ้นเป็น 156 บาท (จาก 140 บาท) ทั้งนี้ ยังคงคำแนะนำ “ขาย” สำหรับ SCC ความเสี่ยงด้านดีที่สำคัญ สเปรดเคมีภัณฑ์ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด

บล.ยูโอบี เคย์เฮียน แนะนำ”ซื้อ”หุ้น SCC ราคาเป้าหมายปี 2569 ที่ 290 บาท คาดจะมีผลขาดทุนในไตรมาส 3/2568 ที่ 437 ล้านบาท (กำไรสุทธิไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 17.3 พันล้านบาท) เป็นผลจากการรับรู้กำไรพิเศษที่ลดลง QoQ เนื่องจากไตรมาส 2/2568 มีกำไรพิเศษจากรายการที่เกี่ยวกับ PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) อยู่ที่ 16.7 พันล้านบาท

พร้อมมองราคาหุ้นสะท้อนความกังวลธุรกิจปิโตรเคมีที่อ่อนแอ แต่ SCC ถือเป็นบริษัทปิโตรเคมีที่มีความสามารถในการทำกำไรจากธุรกิจซีเมนต์ ที่ได้ประโยชน์จากการเร่งเบิกจ่ายงบภาครัฐ รวมไปถึงการปรับขึ้นราคาขายตั้งแต่ มี.ค.2568 และธุรกิจ Packaging ยังมีความสามารถในการทำกำไร จากความต้องการ Packaging ในภูมิภาคที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งกลยุทธ์การขายที่เน้นตลาดที่ยังมีศักยภาพในการเติบโตและการปรับโครงสร้างหนี้ของ Fajar