HoonSmart.com>>3 ผู้นำธุรกิจโลกใหม่ ใช้เวทีเสวนา “Shifting the Global Megatrends” การเปลี่ยนทิศเมกะเทรนด์โลก แนะไทยเร่งปฏิรูปเศรษฐกิจ ด้วยการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาคนในชาติ ผลักดันความร่วมมือภาครัฐ–เอกชน–ประชาชน มองหาโอกาสใหม่จากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอีเอสจี เครื่องมือการเงินใหม่ๆ แบบผสมผสาน ยกระดับความสามารถแข่งขัน พร้อมข้อคิด “3R+Resilience” สำหรับประเทศ ธุรกิจ คนทำงาน
จากงาน KBTG Techtopia ปี 3 บนเวทีเสวนาภายใต้หัวข้อ “Shifting the Global Megatrends” หรือ การเปลี่ยนทิศเมกะเทรนด์โลก ไทยต้องปรับตัว โดยมี ดร. สันติธาร เสถียรไทย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย,นายปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แบรนดิ แอนด์ คอมพานีส์ (BRANDi) ร่วมเสวนา ดำเนินรายการ โดย นายเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG)
นายปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แบรนดิ แอนด์ คอมพานีส์ (BRANDi) กล่าวตอนหนึ่งว่า ความท้าทายสำคัญของไทย คือการทำให้ ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ต้องร่วมมือกัน เพื่อเดินหน้าการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ทิศทางเดียวกับเมกะเทรนด์โลกที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมการเกษตรต้องไปต่อได้ เป็นเรื่องสำคัญเป็นสิ่งแรกที่ต้องเกิดขึ้น

การที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) น่าจะยาก แต่การจะเป็น Green Transition Financial Hub ไม่แน่ เพราะมันกำลังเป็นตลาดใหม่ และจับ ESG เข้า Blended Finance (การเงินแบบผสมผสาน) เข้าไป หา Financial Instruments ใหม่ๆ เผลอๆ ประเทศจะเก็บภาษีได้มากขึ้น จากการดึงธุรกิจนอกระบบ (Informal Economy) ที่เคยเก็บเงินไม่ได้ เข้าสู่ระบบได้มากขึ้น
“ด้วยการเริ่มต้นจากธุรกิจเดิมแล้วเอาเทรนใหม่มาจับ กลายเป็น Combinations ซึ่งวันนี้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่สุดท้ายต้องไม่ให้เทคโนโลยีกินคน เพราะถ้ามันกินคนเราจะไม่เหลืออะไรเลย “นายปิยะชาติ กล่าว
นายปิยะชาติ กล่าวว่า ต้องทำให้เครื่องยนต์ของการพัฒนาความสามารถของคนเข้มแข็งกว่าเครื่องยนต์ที่พัฒนาเทคโนโลยี ต้องมีกำลังคนที่มีความแข็งแกร่งมากพอเพราะเป็น real sector ของจริง
วันนี้ ไทยยังเข้าใจเรื่อง Ecosystem Capital น้อยมาก ไทยยังโชว์ความเป็นประเทศที่มีราคาถูก เช่นเงิน 1,000 บาทอยู่ได้ 1 สัปดาห์ ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติไทย 100 บาท ในขณะที่ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติในต่างประเทศเก็บ 2,000 บาท ซึ่งฟังแล้วดูดีต่อนักท่องเที่ยว แต่ชีวิตคนไทยไม่มีทางดีขึ้นถ้าเงินจากต่างประเทศไม่เข้ามา และส่วนต่างกำไรของเงินไม่มากพอ
ต่างจากสิงคโปร์ที่มีความภูมิใจว่าเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพสูง อะไรๆก็แพง แต่สิ่งที่แพงจะกลับมาเป็นคุณต่อชาวสิงค์โปร์ ตามนโยบายยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง
การที่ไทย เป็นประเทศที่มีของราคาถูกทำให้ไม่มีทรัพยากรกลับมาทำให้ประเทศมีความพร้อมสำหรับอนาคต
เรื่องที่ควรจะทำนานแล้วคือการนำเทคโนโลยีไปเชื่อมโยงสร้างประโยชน์ให้กับกับอุตสาหกรรมต่างๆ นำเทคโนโลยีไปพัฒนาคนที่อยู่ในวัยแรงงานให้ทัน ส่วนระบบการศึกษาต้นน้ำคงต้องใช้เวลาต้องไปหากลไกในการแก้และสุดท้ายต้องรู้ว่าประเทศมีอะไรดี
ไทยต้องรู้ว่า ทุนที่มองไม่ห็น ( Invisible Capital) มีอะไรบ้าง นำของที่มีราคาสูงในมุมของมูลค่าไปขายต่างประเทศ เพื่อดึงเงินต่างชาติเข้ามา
ถ้ารายได้ไทยมากกว่ารายจ่าย บรรยากาศทางเศรษฐกิจของประเทศจะดี
ดร. สันติธาร เสถียรไทย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย แนะนำผู้นำองค์กร คนทำงาน ที่จะอยู่รอดและประสบความสำเร็จในโลกยุคใหม่ ต้องกล้าปฏิรูป
ตัวยกตัวอย่างการพัฒนาและการปรับตัวของประเทศเวียดนามที่ที่กล้าเสี่ยงด้วยการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในรอบ 40 ปีที่พลิกโฉมเศรษฐกิจไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในอนาคต เรียกว่าเป็นผู้ท้าทายอยู่เสมอ หรือ Challenger Mindset ซึ่งปกติเศรษฐกิจก็โตเร็วอยู่แล้วเฉลี่ยปีละ 6% มีการตั้งเป้าหมายว่าจะติด 1 ใน 30 ของโรคด้านนวัตกรรมในปี 2045

ในโลกปัจจุบันไม่สามารถอยู่แบบเดิมได้อีกต่อไป ต้องสามารถคว้าโอกาสในการไปข้างหน้าให้ได้ ที่จะต้องมีการเรียนรู้ตลอดเวลาโดยเปรียบเทียบความรู้ 3 รูปแบบที่ต้องมี กับ น้ำนม วิสกี้ และน้ำเปล่า
1.การเปรียบกับน้ำนม เพราะนมเสียง่าย ในโลกยุคปัจจุบัน ความรู้ที่มีประโยชน์มากๆจะหมดอายุเร็วมาก เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วต้องรู้ให้ทันแล้วก็เรียนรู้ตลอดเวลา
2. เปรียบกับวิสกี้ คือ ทักษะ ที่ต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะ ด้านความคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสารหรือการบอกเล่าเรื่องราว ทีมเวิร์ค ที่ต้องใช้เวลาฝึกฝนและทำงานจริงเรียนรู้ไปพร้อมกับประสบการณ์การทำงาน แก้ปัญหา ที่เกิดขึ้นจริง ยิ่งบ่มยิ่งมีคุณค่า ต้องใช้เวลาซึ่งเปรียบเหมือนกับวิสกี้ที่บ่มยากต้องใช้เวลาแต่ถ้าทำสำเร็จจะอยู่นานและยิ่งน่ากิน เรียนทางวิชาการได้แค่ความรู้อย่างเดียวไม่พอ
3.เปรียบกับน้ำเปล่า ที่ได้จากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง รู้จักจุดแข็ง จุดอ่อน ของตัวเอง และทำงานกับคนแบบไหน สิ่งที่ทำให้มีพลัง เป็นทักษะพื้นฐานสำคัญของการเติบโตในโลกใบใหม่
“ผู้ผู้นำองค์กรต้องสร้างระบบนิเวศให้คนในองค์กรมีการเรียนรู้ทั้ง 3 รูปแบบข้างต้นเพื่อเติมเต็มชีวิตอยู่ตลอดเวลา”ดร. สันติธาร กล่าว
ด้านนายปิยะชาติ เสนอแนวคิดการปรับตัว 3 ระดับ
1. Macro (ระดับรัฐบาล) ไทยต้องคิดการใหญ่ ออกไปแข่งขันในเวทีสากลมากขึ้น ไม่ใช่แค่รอปรับตัว
ข้อดีของการออกไปทำตลาดในต่างประเทศ
อย่างแรก จะเข้าใจมาตรฐานสากล
สอง จะก่อให้เกิดความเห็นร่วมกันหรือมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้มีเวลาในการทะเลาะกันภายในประเทศน้อยลงเพราะจะใช้เวลามาร่วมกันคิดเพื่อแข่งขัน
สาม จังหวะที่มีการเปลี่ยนผ่านต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในวงจรของการเปลี่ยนผ่านเพื่อร่วมกำหนดกติกา เพราะจะทำให้เล่นเกมได้ดีกว่าคู่แข่ง ปัจจุบันไทยยังเป็นผู้ตามกติกาอยู่ และปรับตัวไม่ทัน
2. Market (ภาคธุรกิจ) เป็นยุคที่ต้องตลาดใหม่ขึ้นมาเอง ด้วยการเข้าไปพัฒนาและแก้ปัญหา สังคมและสิ่งแวดล้อมจะเป็น New Premium ของธุรกิจเพิ่มขึ้น เดิมหรือปัจจุบันผู้ประกอบการต้องการค้าขายกับผู้บริโภคในต่างประเทศแต่ไม่อยากค้าขายกับคนในชาติเพราะกำลังซื้อน้อย
หากสามารถนำเทคโนโลยีและกลไกต่างๆพัฒนาตลาดภายในประเทศขึ้นมาได้จะเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพในการทำกำไรได้ในอนาคตและเป็นธุรกิจที่สังคมยอมรับในการเติบโต
3. Micro (ระดับบุคคล และ องค์กร) วันนี้เอไอทำให้รู้ว่ามีความฉลาดแบบอุดมคติเกิดขึ้นและชื่นชอบมันมากๆ ต้องเลือกว่าจะให้เอไอเป็นเจ้านายในอุดมคติ ที่เชื่อทุกสิ่งที่เอไอทำให้ ที่มีสิ่งเพ้อเจ้ออยู่จำนวนมาก
หรือจะให้เป็นลูกน้องในอุดมคติ ด้วยการคุยจากความคิดของตัวเองมากกว่าที่เอไอทำให้ จะสร้างประโยชน์มหาศาลและจะเป็นเครื่องมือยกระดับทุนมนุษย์ของประเทศไปพร้อมกับเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจในอนาคต
นายเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ปิดท้ายเวทีเสวนา ด้วยข้อคิด สำหรับนักธุรกิจและคนรุ่นใหม่ ได้แก่

1. Relearn เรียนรู้ใหม่อย่างต่อเนื่อง
2. Reset กล้ารีเซ็ตงาน องค์กร และทักษะของตนเอง
3. Reform กล้าปฏิรูปเชิงกลยุทธ์ทั้งในระดับองค์กรและประเทศ แม้แต่ในช่วงที่ไม่จำเป็น
4. Resiliencey ความสามารถของบุคคล ทีม หรือองค์กร ในการรับมือ ปรับตัว ฟื้นตัว และเติบโตได้จากความล้มเหลว
“เหมือน KBTG ลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ไป 160 บริษัท เจ๊ง 38 บริษัท แต่ตัวที่สำเร็จผลตอบแทนเป็น 100 เด้ง เช่นเดียวกับชีวิตคน ตราบที่ยังไม่ตาย และไม่ยอมแพ้ ให้เตรียมตัวให้พร้อม เมื่อช่วงเวลาของเรามาถึง เราจะก้าวกระโดดขึ้นมาเลย และยกระดับตัวเองให้เป็นโกลบอลลีดเดอร์ ไม่สามารถวางระดับไว้ในประเทศได้แล้ว”นายเรืองโรจน์ สรุป
