HoonSmart.com>>ไทยออยล์ปรับกลยุทธ์รับมือราคาน้ำมันดิบผันผวน เดินหน้าโครงการ CFP เสริมศักยภาพโรงกลั่น-ปิโตรเคมี-คุมต้นทุน-ลดหนี้ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว 2 โบรกเกอร์ให้เป้าราคา 36-41 บาท
นางธาริกา เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้จัดการฝ่ายวางแผนการเงิน บริษัทไทยออยล์ (TOP) ร่วมกับ น.ส.วิภาวี วิวัฒน์นิมิตร ผู้จัดการแผนกวางแผนการพาณิชย์ น.ส.นันทกา บำรุงสุขสวัสดิ์ ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัทไทยออลย์ ร่วมกันนำเสนอข้อมูลธุรกิจ และผลการดำเนินงานประจำ Q2/2025 โดยคาดว่าแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังมั่นใจว่ารายได้จะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก ผลจากการบริโภคในประเทศดีขึ้น ค่าการกลั่นลดลง ควบคุมต้นทุน
ทั้งนี้ แยกเป็นรายธุรกิจน้ำมันดิบ จะมีราคาผันผวนจากอุปทานล้นตลาดและแรงกดดันภูมิรัฐศาสตร์ จะทำให้ราคาปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการเพิ่มกำลังการผลิตของ OPEC+ เพิ่มกำลังการผลิตเกินแผนเดิม โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แม้ไอเอ็มเอฟ จะมีการปรับจีดีพีโลกจาก 2.8% เป็น 3% แต่ความต้องการน้ำมันยังเติบโตเพียง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต่ำกว่าที่ผู้ผลิตคาดหวัง ,
ในขณะที่ ปริมาณสต๊อกน้ำมันดิบทั่วโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำและกดดันต้นทุนการผลิต
และมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่อผู้ซื้อรายใหญ่น้ำมันดิบจากรัสเซีย ได้แก่ จีน อินเดีย ตุรกี ทำให้ประเทศเหล่านั้นหันไปพึ่งน้ำมันจากตะวันออกกลาง ดันราคาพรีเมี่ยมให้สูงขึ้น
ด้านธุรกิจโรงกลั่น (Refinery) คาดการณ์ว่าค่าการกลั่น (GRM) จะปรับตัวลดลงเล็กน้อยในครึ่งปีหลังจากแรงกดดันของตลาดเบนซินที่มีอุปทานสูง แต่น้ำมันดีเซลยังคงเป็นตัวพยุงค่าการกลั่น จากสต๊อกน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับต่ำและมาตรการคว่ำบาตรผลิตภัณฑ์จากรัสเซียในยุโรป และโรงกลั่นในสหรัฐฯ และยุโรป ที่ไม่สามารถแข่งขันได้ในแง่ของต้นทุน จะทยอยปิดตัวลงส่งผลให้อุปทานในตลาดจำกัดมากขึ้นในไตรมาส 3–4
ธุรกิจ Aromatics จะมีการฟื้นตัวจากดีมานด์ปลายน้ำช่วงเทศกาล เช่น เสื้อผ้าและบรรจุภัณฑ์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี และได้แรงหนุนจากกำลังการผลิตใหม่ในตลาดมีจำกัด ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ Aromatics อยู่ในระดับที่ดี โดยจะเน้นการบริหารต้นทุนและการจัดการสต๊อกช่วยเสริมความสามารถในการทำกำไรในช่วงครึ่งปีหลัง
ธุรกิจ Olefins ยังคงเผชิญแรงกดดันจากอุปทานใหม่ที่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง และดีมานด์ที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกและบรรจุภัณฑ์ โดยบริษัทฯเน้นการบริหารต้นทุนและปรับแผนการผลิตให้สอดคล้องกับสภาพตลาด
สำหรับ ความต้องการภายในประเทศ คาดว่าความต้องการใช้ก๊าซ LPG จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งจะได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของภาคปิโตรเคมี นอกจากนี้ ความต้องการยังได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของภาคประกอบอาหาร เนื่องจากกระทรวงพลังงาน (กพท.) มีแผนที่จะคงราคาขายปลีกก๊าซ LPG สำหรับประกอบอาหารไว้ที่ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 เพื่อช่วยลดค่าครองชีพ
ด้านการบริโภคน้ำมันเบนซิน คาดว่าจะเติบโตอย่างช้า ๆ ที่ระดับ 0.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) เนื่องจากจำนวนการจดทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยังอยู่ในระดับต่ำ และเศรษฐกิจโดยรวมฟื้นตัวอย่างช้า ๆ
น้ำมันเครื่องบินเจ็ท คาดว่าจะเติบโต 9.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ความต้องการนี้ได้รับแรงหนุนหลักจากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับปีก่อน คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 35 ล้านคน ทรงตัวจากปีก่อน (+0% เมื่อเทียบกับปีก่อน) และต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ประมาณ 37.5 ล้านคน การปรับลดประมาณการครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้ามาน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
น้ำมันเบนซิน คาดว่าจะลดลงเล็กน้อย 0.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั้งโลกและในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากหนี้ครัวเรือนในประเทศ อย่างไรก็ตาม ความต้องการยังคงได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและการขนส่งทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับแรงหนุนจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น
น้ำมันเชื้อเพลิงเตา คาดว่าความต้องการใช้จะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับภาคขนส่งได้รับแรงหนุนทางอ้อมจากกิจกรรมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 เนื่องจากผู้ส่งออกของไทยเร่งส่งออกก่อนมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 สิงหาคม 2568
ดังนั้น คาดว่าการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเตาของไทยจะลดลงในช่วงครึ่งหลังของปีเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากผลกระทบของภาษีศุลกากรต่อกิจกรรมการส่งออก
เริ่มสร้างโครงการ CFP ภายในปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทฯเร่งเดินหน้าก่อสร้างโครงการ Clean Fuel Project (CFP) ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกลั่น ลดต้นทุน และเพิ่มความสามารถในการผลิตน้ำมันคุณภาพสูง ล่าสุดได้ว่าจ้าง EPCM เป็นผู้บริหารโครงการแล้ว และอยู่ระหว่างเปลี่ยนผู้รับเหมาหลักเพื่อเร่งงานก่อสร้างภายในปีนี้ เพื่อให้แล้วเสร็จในไตรมาส 3 ปี 2571 ภายใต้งบลงทุนรวมอยู่ที่ 1,776 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีแผนจัดหาเงินทุนจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและการออกหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ หรือ Perpetual bond ซึ่งจะรอดูสถานการณ์ที่เหมาะสมในการออกหุ้นกู้ดังกล่าว ซึ่งจะทำให้สัดส่วนหนี้ของบริษัทลดลงด้วย ส่งผลต่อระดับความน่าเชื่อถือของบริษัท

บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ให้ราคาเป้าหมายที่ 36.00 บาท อัพไซด์ 13% คาดการณ์กำไรปกติไตรมาส 3 ปี 2568 ลดลงตามค่าการกลั่นที่ลดลงและการหยุดซ่อมบำรุง โดยค่าการกลั่น SG GRM ในไตรมาส 3/68 อยู่ที่ 4.0 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 27% QoQ แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย YoY โดยการลดลง QoQ เป็นผลหลักจากราคาน้ำมันเตาที่ปรับลดลงจากระดับสูง และราคาน้ำมันเบนซินที่ลดลง แม้ว่าน้ำมันดีเซลและ Jet จะปรับเพิ่มขึ้นก็ตาม
ด้วยสัดส่วนการกลั่นน้ำมันเบนซินของ TOP ที่สูงถึง 18% ประกอบกับ Crude premium ที่เพิ่มขึ้น และการหยุดซ่อมบำรุง CDU-3 เป็นเวลา 30 วัน ส่งผลให้อัตราการกลั่นลดลงมากอยู่ที่ 85% ซึ่งจะกระทบต่อโรงงานอะโรเมติกส์ ทำให้อัตราการเดินเครื่อง (Utilization rate) ลดลงเหลือ 50%
คาดว่าปัจจัยเหล่านี้จะทำให้กำไรปกติของ TOP ในไตรมาส 3/68F อ่อนแอกว่าหุ้นโรงกลั่นอื่น
คงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ด้วย 2 ประเด็นหลัก ได้แก่
1.โครงการ CFP ยังเหลือมูลค่างานที่ต้องดำเนินการอีก 1,776 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 63,000 ล้านบาท) โดย TOP ได้ว่าจ้างงานส่วนสำคัญไปแล้วกับ STECON มูลค่า 7,400 ล้านบาท และ SRICHA มูลค่า 7,800 ล้านบาท รวมคิดเป็น 24% ของมูลค่างานทั้งหมด ส่วนที่เหลือ TOP คาดว่าจะสามารถสรรหาผู้รับเหมาได้ครบภายในสิ้นปีนี้ และยืนยันว่าโครงการจะเริ่ม COD ทั้งหมดในไตรมาส 3 ปี 2571
โดยได้ปรับกลยุทธ์ธุรกิจใหม่ภายใต้แนวคิด “2S1P” โดยมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจหลัก พร้อมขยายการเติบโตในธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง (High Margin) เช่น Specialty Chemicals, SAF, Hydrogen, CCS เป็นต้น รวมถึงการขยายแพลตฟอร์มให้ครอบคลุมระดับภูมิภาค โดยโครงการ CFP ถือเป็นโครงการที่ให้ความสำคัญสูงสุด
2.แผนการดำเนินการด้าน Asset Rationalization ยังอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อช่วยลดภาระหนี้ ขณะเดียวกันมีแผนออก Perpetual Bond เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับโครงการ CFP และเสริมความแข็งแกร่งให้กับฐานทุนของบริษัท
คาดว่าค่าการกลั่นในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 (2H68F) จะอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก (HoH) เนื่องจากสเปรดน้ำมันเบนซินลดลงหลังผ่านช่วง High Season ประกอบกับมีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาด และ Crude Premium ที่ปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม สเปรดของน้ำมันดีเซลและ Jet ยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่แนวโน้มธุรกิจอะโรเมติกส์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามฤดูกาล และอุปทานใหม่ที่ชะลอลง
แม้ว่าคาดว่ากำไรในไตรมาส 3/68F จะอ่อนลงจากค่าการกลั่นและอัตราการกลั่นที่ลดลงตามการหยุดซ่อมบำรุง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ BCP ซึ่งไม่มีการหยุดซ่อมบำรุง และยังมีแรงหนุนจากธุรกิจอื่น ทำให้แนวโน้มกำไรของ BCP ดูแข็งแกร่งกว่า
สำหรับปัจจัยเสี่ยง ที่ต้องจับตา ได้แก่ ความผันผวนของค่าการกลั่น ,ความล่าช้าในโครงการ CFP และแผน Asset Rationalization ความไม่แน่นอนของราคาน้ำมันและเศรษฐกิจโลก
บล.เอเซียพลัส ให้ราคาเป้าหมายที่ 41 บาท อัพไซด์ 20.58% โดยกำไรปกติครึ่งแรกของปี 2568 คิดเป็น 56% ของประมาณการปี 2568 และยังคงประมาณการเดิม โดยอ้างอิงสมมติฐานว่าค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ 5.5 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนต่างราคาอะโรเมติกส์และน้ำมันหล่อลื่นยังคงอยู่ใกล้เคียงกับปี 2567 และอัตราค่าสาธารณูปโภคลดลงจาก 110% ในปี 2567 เหลือ 103%

เนื่องจากการยกเครื่องครั้งใหญ่ของหน่วยโรงกลั่นหลักและโรงงานที่เกี่ยวข้อง (TPX และ TLB) ในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 คาดว่ากำไรในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 จะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนเนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงของหน่วยโรงกลั่น CDU-3 (30 วัน) และหน่วย TPX และ TLB (45 วัน)
ส่วนต่างราคาปิโตรเลียมอาจทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ขณะที่ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีอาจเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนในช่วงไฮซีซั่น
ยังคงแนะนำให้ซื้อขายในช่วงฤดูกาลการกลั่นและแนวโน้มราคาน้ำมันโลก สำหรับการลงทุนระยะยาว ควรซื้อเพื่อรับผลตอบแทนจากเงินปันผลมากกว่า 5.6%
