LEO ไตรมาส 2/68 กำไร 5.4 ลบ. ส่งซิกครึ่งปีหลังสดใสลุยธุรกิจใหม่

HoonSmart.com >> LEO เปิดงบ Q2/68 รายได้ 337.3 ลบ. กำไร 5.4 ลบ. รับรู้รายได้ขนส่งราง 6 เดือนแรกตามเป้า – ขยาย Non Freight และ Non-Logistics ต่อเนื่อง ลุยธุรกิจ Green Logistics ตอบโจทย์การให้บริการแบบ Sustainable Logistics ฟาก “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ซีอีโอ  มั่นใจ ไตรมาส 3-4/2568  แนวโน้มสดใสกว่าครึ่งแรก  ลุยขยายธุรกิจใหม่ Non Freight และ Non-Logistics ผลักดันอนาคตเติบโตก้าวกระโดดและยั่งยืน

เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO)  เปิดเผยว่า  ผลดำเนินงานไตรมาส 2/2568 (สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2568) บริษัทฯ ฯ มีรายได้รวม 337.3 ล้านบาท กำไรสุทธิ ในส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่  5.4 ล้านบาท และกำไรขั้นต้น 113.1 ล้านบาท

ปัจจัยที่ทำให้ผลการดำเนินงานลดลง เนื่องจาก ผลกระทบมาจากสงครามการค้าและความไม่แน่นอน เกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าของประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้การส่งสินค้าไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งจากประเทศไทย รวมถึงสินค้า e-Commerce จากประเทศจีนที่มีการขนส่งมาผ่านประเทศไทยมีปริมาณลดลดอย่างมากในช่วงไตรมาส 2/2568 และทำให้บริษัทฯ และบริษัท อาราเม็กซ์ (ประเทศไทย) ที่เป็นบริษัทร่วมของบริษัทฯ มีรายได้ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้รับผลกระทบจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เนื่องจาก การแข็งค่าของเงินบาทที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2/2568

บริษัทฯ มีการเติบโตทางรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics อย่างต่อเนื่องและมีนัยสำคัญ การรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ๆที่บริษัทฯได้จัดตั้งขึ้น ทำให้รายได้ของบริษัทฯเติบโตขึ้นและลดความผันผวนจากธุรกิจ Freight ได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะรายได้จากการขนส่งทางรางที่บริษัทในกลุ่มมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในช่วง H1/2568 มีรายได้จากการขนส่งสินค้าทางราง 151.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 576 จาก H1/2567

บริษัท LaneXang Express ซึ่งเป็นบริษัทร่วมสามารถทำรายได้ในไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 19.7 ล้านบาทเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 และบริษัท Sritrang Leo Multimodal Logistics มีรายได้จากการขนส่งทางรางภายในประเทศ 57.6 ล้านบาทในไตรมาสที่ 2/2568 อีกทั้งบริษัท Logicam LEO (Cambodia) Co., Ltd. ที่เป็นบริษัทร่วมในประเทศกัมพูชา ก็สามารถสร้างรายได้และกำไรขั้นต้นได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีรายได้ในไตรมาสที่ 2/2568 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 60 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1/2568

นอกจากนี้ ธุรกิจ Self-Storage และลานจัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์ก็มีการเติบโตทางรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2568 และเติบโตขึ้นถึงร้อยละ20 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/2567 โดยบริษัท YJC Depot Services ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์สามารถเพิ่มรายได้ในไตรมาส 2/2568 ขึ้นถึงร้อยละ 58 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 และเพิ่มขึ้นร้อยละ100 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2567 ในส่วนของธุรกิจ LEO Coldbotic ศูนย์จัดเก็บและกระจายสินค้าอัจฉริยะสำหรับไวน์ รวมทั้งการส่งออกสินค้าทุเรียนไปยังประเทศจีนโดยบริษัท LEO Sourcing & Supply Chain ก็เริ่มมีการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง

“ภาพรวมการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics มีการเติบโตของรายได้และเป็นไปตามเป้าหมายของแผนธุรกิจใหม่ เสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างรายได้ของบริษัทในระยะยาว เนื่องจาก ธุรกิจหลักด้าน Freight ผันผวนตามทิศทางของเศรษฐกิจโลกและอัตราค่าระวางเรือ บริษัทฯ ได้กระจายความเสี่ยง และเดินหน้าขยายธุรกิจในกลุ่ม Non-Freight / Non – Logistics อย่างต่อเนื่อง  ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากธุรกิจหลักเพียงอย่างเดียว   มั่นใจระยะยาวข้างหน้า สัดส่วนรายได้และกำไรจากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics จะมีสัดส่วนมากขึ้น  ขับเคลื่อนหลักสนับสนุนการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนของ LEO” นายเกตติวิทย์ กล่าว

สำหรับทิศทางครึ่งหลังปี 68 บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า จะมีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นในไตรมาส 3/2568 และไตรมาส 4/2568 ภายหลังจากที่ประเทศสหรัฐอเมริกามีการประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ที่ชัดเจน อีกทั้งบริษัทฯ มีแผนที่จะเริ่มดำเนินธุรกิจ Green Logistics โดยใช้รถ EV Truck เพื่อให้บริการกับลูกค้าของบริษัทฯ โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมการให้บริการในลักษณะ Sustainable Logistics ที่ลดภาวะโลกร้อน และมีการจัดทำ Carbon Emission Statement ตามหลัก ISO 14067 ให้กับลูกค้าของบริษัทฯ ในไตรมาส 4/2568

บริษัทฯ มีความมั่นใจว่าการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ๆทั้งหลายเหล่านี้จะช่วยสร้างรายได้ของบริษัทฯให้เติบโตมากขึ้นและลดความผันผวนจากธุรกิจ Freight ได้ โดยบริษัทฯ วางเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ให้ได้อย่างน้อย 30-35% ของรายได้รวมภายในปี 2568 นี้