HoonSmart.com>>บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) มองครึ่งปีหลัง “ตลาดหุ้นเกิดใหม่ เอเชีย” น่าสนใจ Upside มากกว่าตลาดสหรัฐฯ ส่วน “หุ้นไทย” วางเป้าดัชนีปีนี้ 1,300 จุด พร้อมแนะนำกองทุน “MGALL” เป็นพอร์ตหลัก (Core port) ชูกระจายลงทุนหลายสินทรัพย์ทั่วโลก สร้างผลตอบแทนฝ่าทุกสภาวะ รับมือตลาดยังมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน “ทรัมป์” เซอร์ไพร์สได้ทุกเมื่อ ส่วนพอร์ตเสริมแนะ “หุ้นเทคจีน-อินเดีย-เวียดนาม”

นายเชาวน์กร โชติบัณฑ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี (MFC) กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนครึ่งปีหลังปี 2568 มองสินทรัพย์ทั่วโลกยังเป็นบวก แต่ความร้อนแรงน่าจะค่อยๆ ลดลง หลังจากสหรัฐฯได้ข้อสรุปอัตราภาษีนำเข้าในวันที่ 1 ส.ค.ไปแล้วเกือบทุกประเทศ เหลือเพียงจีนและอินเดียที่อยู่ระหว่างการเจรจา ซึ่งมองตลาดหุ้นรับข่าวไปพอสมควรแล้ว กลยุทธ์การลงทุนจึงเน้น Selective
สำหรับ “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ” ปรับตัวขึ้นไปมากและกระจุกตัวในกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ AI ทำให้ Upside ตลาดจำกัดและ Valuation ตึงตัว จึงมองตลาดหุ้นเกิดใหม่ ตลาดเอเชียกระจายตัวได้ดีกว่า ทั้งหุ้นจีน เวียดนามและไทย Valuation ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ส่วน “ตลาดหุ้นไทย” ปรับตัวขึ้นมาหลังมีความชัดเจนเรื่องภาษีสหรัฐฯ ที่เก็บในอัตรา 19% ซึ่งสามารถแข่งขันกับเพื่อนบ้านได้ รวมทั้งเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ไหลกลับเข้ามาลงทุนต่อเนื่องตั้งแต่เดือนก.ค.จนถึงต้นส.ค. ซึ่งหาก Fund Flow ยังเข้าต่อเนื่องดัชนีก็มีโอกาสแตะ 1,300 จุดได้ในระยะสั้น ซึ่งเป็นระดับเป้าหมายของดัชนีปลายปีนี้
อย่างไรก็ตามดัชนีที่ขึ้นมาแรง อาจเห็นการพักตัวลงจากแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง มอง Downside แถว 1,200 จุด เป็นแนวรับแข็งแกร่ง ขณะเดียวกัน Upside จำกัด จากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
“หุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 มีผลประกอบการแข็งแกร่งและมีการจ่ายเงินปันผลดีเฉลี่ย 4-6% จึงมองว่าหากดัชนีปรับตัวลง นักลงทุนที่ต้องการซื้อหุ้น เพื่อหวังเงินปันผลก็เข้าซื้อได้”นายเชาวน์กร กล่าว

อย่างไรก็ตามประเด็นการเมืองเกี่ยวกับคดีต่างๆ ที่จะออกมาในไตรมาส 3 นี้ก็อาจส่งผลต่อตลาดบ้าง แต่ตลาดก็มองเป็นบวกหากมีการเปลี่ยนแปลงการเมือง ส่วนแรงขายจากกองทุน LTF มองว่าไม่ได้กดดันตลาดแล้ว หลังนักลงทุนย้ายไปเข้ากองทุน ThaiESGX ส่วนหนึ่งและเม็ดเงิน LTF เหลือประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นกองทุนรวมทั่วไป
สำหรับปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ งบประมาณรายจ่ายปี 69 , การปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีโอกาสลดดอกเบี้ย 2 ครั้งจากการประชุม 3 ครั้งในปีนี้ โดยการประชุมรอบวันที่ 13 ส.ค.นี้ คาดว่ายังคงดอกเบี้ย ส่วนดอกเบี้ยสหรัฐ ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้
ส่วนกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ หุ้นกลุ่มส่งออกที่ปรับตัวลงไปมากจากภาษีทรัมป์ หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลและค้าปลีก ได้รับอานิสงส์จากงบประมาณปี 69 และกลุ่มไฟแนนซ์รับผลบวกจากการปรับลดดอกเบี้ย รวมถึงกองรีทน่าสนใจ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 7-8%
นายเชาวน์กร กล่าวว่า สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนในครึ่งปีหลังนี้ แนะนำให้กระจายพอร์ตและวางสมดุลของสินทรัพย์ เนื่องจากมองว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ยังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไปอีก 3 ปีกว่าจะหมดวาระ ซึ่งอาจมีเซอร์ไพร์สอะไรเกิดขึ้นอีก จึงมองตลาดจะเกิดความไม่แน่นอน ดังนั้นจึงมองการจัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงในไปในหลายสินทรัพย์ เพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ได้
ตลาดหุ้นที่น่าสนใจในครึ่งปีหลัง ได้แก่ หุ้นเทคจีน มองราคาหุ้นยัง laggard โดยมองว่าจีนพยายามสร้างเทคโนโลยีเพื่ออยู่ได้ด้วยตัวเอง จากประชากรจีนใช้เน็ตถึง 1 พันล้านคน มี Data จำนวนมากซึ่งจะช่วยให้จีนเป็นผู้นำ AI ได้
ส่วน “หุ้นอินเดีย” แนวโน้มเศรษฐกิจยังเติบโตได้ชัดเจน ประชากรวัยหนุ่มสาวและมีรายได้ต่อหัวยังไม่มาก โอกาสเติบโตสูง แม้ประเด็นภาษีสหรัฐฯ ที่ถูกเก็บในอัตราสูง สูงยังเจรจาไม่จบ แต่ตลาดหุ้นอินเดียย่อตัวลงมาในช่วง 1 เดือนกว่าสวนทางตลาดหุ้นอื่นๆ ซึ่งรับข่าวภาษีไปแล้ว จึงมองตลาดหุ้นอินเดียในตอนนี้่น่าสนใจ
ขณะที่ “ตลาดหุ้นเวียดนาม” ยังลงทุนได้ในระยะยาว แต่ในระยะสั้นราคาหุ้นปรับตัวขึ้นร้อนแรงจากแรงเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อยในประเทศที่ใช้มาร์จิ้นซื้อขายในสัดส่วนที่สูงในรอบ 7-8 ปีและหุ้นที่ปรับตัวขึ้นก็กระจุกตัว ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติทยอยขายหุ้น จึงแนะนำให้รอดัชนี VN30 ปรับตัวลงมาระดับ 1,500 จุด เป็นจุดที่นักลงทุนระยะยาสามารถเข้าลงทุนได้
นอกจากนี้ “ทองคำ” ยังให้น้ำหนัก overweight เพื่อช่วยกระจายพอร์ตและเป็นทางเลือกในการกระจายการลงทุน เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของทรัมป์ ซึ่งทยอยสะสมได้ ปัจจุบันราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบ 3,200-3,300 เหรียญสหรัฐฯต่อออนซ์
“พอร์ตครี่งปีหลังแนะนำกระจายลงทุนในหุ้น 50% ตราสารหนี้ 50% ซึ่งในส่วนของหุ้นแนะนำหุ้นสหรัฐฯ 30% หุ้นอินเดีย 5% หุ้นจีน 5% ส่วนที่เหลือ 10% อาจเน้นหุ้นเกี่ยวข้องกับ AI และหุ้นกลุ่มการเงิน”นายเชาว์กร กล่าว
อย่างไรก็ตามหากนักลงทุนไม่อยากจัดพอร์ตเองหรือจับจังหวะตลาดด้วยตัวเอง แนะนำกองทุน MGALL ที่มีนโยบายการลงทุนสอดรับกับมุมมองการลงทุนของ MFC ที่สามารถรับมือกับสภาวะตลาดผันผวน เนื่องจากกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ทั่วโลก อาทิ ตราสารหนี้ หุ้น ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์และมีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตลงทุน ปัจจุบันลงทุนในตราสารหนี้ประมาณ 70% และหุ้น 30%
กองทุน MGALL เป็น Feeder Fund มีนโยบายลงทุนใน SPDR Bridgewater All Weathe ETF (กองทุนหลัก) ชั้นนำ “SPDR® Bridgewater® All Weather® ETF” ที่ใช้กลยุทธ์ All Weather Asset Allocation Approach จาก Bridgewater บริษัทลงทุนระดับโลก ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง รับมือได้ทั้งภาวะเงินเฟ้อ เศรษฐกิจถดถอย หรือวันตลาดเหวี่ยง ๆ ด้วยพอร์ตแบบ All Weather ที่เน้นกระจายความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด บริหารโดย SSGA Funds Management, Inc.มืออาชีพด้าน Multi-Asset และ ETF กว่า 40 ปี
“นักลงทุนสามารถเลือกกองทุน MGALL เป็น Core Port หรือพอร์ตหลักได้ และอาจเลือกลงทุนในหุ้นรายประเทศในตลาดที่น่าสนใจ เพื่อเป็นพอร์ตเสริม”
ทั้งนี้ กองทุน MGALL อยู่ระหว่างเสนอขายขาย IPO วันที่ 4-15 สิงหาคม 2568 เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท มีกองทุนให้เลือกลงทุน MGALL-H ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน และกองทุน MGALL-UH ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน
