HoonSmart.com>> ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 206 จุด Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นวันที่สองติดต่อกัน แรงหนุนหุ้นเกี่ยวข้องเทคโนโลยี นักลงทุนคาดหวังเฟลดลดดอกเบี้ย ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ทรงตัว ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป”ปิด บวก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 8 สิงหาคม 2568 ปิดที่ 44,175.61 จุด เพิ่มขึ้น 206.97 จุด หรือ +0.47% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นวันที่สองติดต่อกัน จากการปรับขึ้นของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี รวมถึง Apple และจากความคาดหวังของนักลงทุนเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,389.45 จุด เพิ่มขึ้น 49.45 จุด, +0.78%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,450.02 จุด เพิ่มขึ้น 207.32 จุด, +0.98% หลังจากทำสถิติ all-time highในช่วงแรกของการซื้อขาย
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 1.4% ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 2.4% และดัชนี Nasdaq เพิ่ม 3.9%
การปรับขึ้นในกลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มเฮลธ์แคร์ และสินค้าอุปโภคบริโภค หนุนตลาดโดยรวม
หุ้น Apple พุ่งขึ้น 4.2% และเพิ่มขึ้น 13.3% ในสัปดาห์นี้ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์ที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2020 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อวันพุธว่า Apple จะลงทุนเพิ่มอีก 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้การลงทุนรวมของบริษัทมีมูลค่า 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอีกสี่ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ หุ้น Gilead Sciences ที่เพิ่มขึ้น 8.3% ยังหนุนดัชนี S&P 500 หลังจากที่บริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ทางการเงินทั้งปี
ข้อมูลตลาดแรงงานที่ย่ำแย่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หนุนความคาดหวังว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน ขณะที่นักลงทุนกำลังประเมินการเลือกผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ชั่วคราวของทรัมป์
ในช่วงท้ายของการซื้อขาย ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เสนอชื่อสตีเฟน มิรัน ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ ให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมผู้ว่าการเฟดระยะสั้น หลังจากที่เอเดรียนา คูเกลอร์ ลาออกอย่างกะทันหันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และลดรายชื่อผู้ที่จะได้รับการเสนอให้รับตำแหน่งต่อจากเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ซึ่งจะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 15 พฤษภาคม
มิรัน ซึ่งมักสนับสนุนทรัมป์ เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าพาวเวลล์ช้าเกินไปในการลดอัตราดอกเบี้ย
FedWatch Tool ของ CME บ่งชี้การคาดการณ์ว่ามีโอกาส 89.4% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.25%ในการประชุมเดือนกันยายน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 80.3% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และยังบ่ชี้ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้งภายในสิ้นปีนี้
ในสัปดาห์หน้ามีกำหนดรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯ ในวันอังคาร ซึ่งแนวโน้มเงินเฟ้อจะเป็นการทดสอบการฟื้นตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยนักลงทุนบางส่วนคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นอาจปรับตัวลดลง
นักลงทุนยังจับตาความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และอินเดีย เนื่องจากอินเดียได้ระงับการซื้ออาวุธและเครื่องบินจากสหรัฐฯ ใหม่ หลังจากที่ทรัมป์ขึ้นภาษีส่งออกสินค้าของอินเดียเป็น 50% ในสัปดาห์นี้
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกที่ระดับสูงสุดในรอบ 12 สัปดาห์ โดยหุ้นกลุ่มธนาคารยังคงผลักดันให้ดัชนีปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่นักลงทุนจับตาสัญญาณการหยุดยิงระหว่างรัสเซียและยูเครน
ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 547.08 จุด เพิ่มขึ้น 1.03 จุด, +0.19% และเพิ่มขึ้น 2.2% ในสัปดาห์นี้
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,095.73 จุด ลดลง 5.04 จุด, -0.06%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,743.00 จุด เพิ่มขึ้น 33.68 จุด, +0.44%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,162.86 จุด ลดลง 29.64 จุด, -0.12%
ดัชนีกลุ่มธนาคารยูโรโซนเพิ่มขึ้น 1.9% ทำให้กลายเป็นกลุ่มที่ปรับขึ้นดีที่สุดนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน โดยเพิ่มขึ้น 56.8%
หุ้นกลุ่มธนาคารได้รับประโยชน์จากนักลงทุนที่มองหาแหล่งพักเงินในหุ้นที่เน้นลงทุนในประเทศ จากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่นักวิเคราะห์ก็เน้นย้ำถึงผลประกอบการที่แข็งแกร่งในช่วงฤดูกาลประกาศผลประกอบการเช่นกัน
นักลงทุนต่างจับตาสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ หลังจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สหรัฐฯ และรัสเซียกำลังมุ่งเป้าที่จะบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติสงครามในยูเครน
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศลดลง 0.8% ทำให้การปรับขึ้นรวมอยู่ที่ 51.4% ต่ำกว่าหุ้นกลุ่มธนาคารเล็กน้อย
หุ้น Munich Re บริษัทรับประกันภัยต่อของเยอรมนี ร่วงลง 7.2% และติดอันดับหุ้นที่ปรับตัวลดลงมากที่สุดในดัชนีอ้างอิง หลังจากที่บริษัทได้ปรับลดคาดการณ์รายได้จากประกันภัยสำหรับปีบัญชี
หุ้นกลุ่มประกันภัยลดลง 1.6% หลังจากแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เพียงวันเดียว
หุ้น Thyssenkrupp ของเยอรมนี เพิ่มขึ้น 2.7% จากการที่ผู้ถือหุ้นเตรียมลงคะแนนเกี่ยวกับการแยกธุรกิจด้านการป้องกันประเทศและความคาดหวังผลบวกจากการใช้จ่ายด้านกาปร้องกันประเทศในยุโรปที่เพิ่มขึ้น
ข้อมูลที่รวบรวมโดย LSEG พบ 198 บริษัทในดัชนี STOXX 600 ที่รายงานผลประกอบการจนถึงวันอังคาร มี 53% ที่ผลประกอบการสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนกันยายนไม่เปลี่ยนแปลง ปิดที่ 63.88 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 16 เซนต์ หรือ 0.24% ปิดที่ 66.59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
