ดาวโจนส์ลบ 330 จุด  จับตาความคืบหน้าทางการค้า

HoonSmart.com >>  ดาวโจนส์ลบ 330 จุด  จับตาความคืบหน้าทางการค้า และรอผลประกอบการ Apple และ Amazon หลังปิดทำการ 
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ปิดที่ 44,130.98 จุด ลดลง 330.30 จุด หรือ -0.74%
เนื่องจากกำหนดเส้นตายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บดบังผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ Meta (META) และ Microsoft (MSFT)
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,339.39 จุด ลดลง 23.51 จุด, -0.37%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,122.45 จุด ลดลง 7.23 จุด, -0.03%
รอบเดือนนี้ ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 2.2% ดัชนี Nasdaq ปรับขึ้น 3.7% ซึ่งเป็นเดือนที่ 4 ปรับขึ้น ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้นเกือบ 0.1% เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันที่ปรับขึ้น
หุ้น Microsoft และ Meta ยักษ์ใหญ่ในกลุ่ม Magnificent Seven พุ่งขึ้นราว 4% และ 11% ตามลำดับ จากผลประกอบการรายไตรมาสที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดย Microsoft บริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่ ระบุว่า รายได้ต่อปีจากบริการคลาวด์คอมพิวติ้ง Azure ทะลุ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนMeta เผยแนวโน้มยอดขายไตรมาสที่สามที่สดใส สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ Microsoft ช่วยผลักดันให้บริษัทมีมูลค่าตลาดสูงถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของหุ้นเทคโนโลยี ไม่ได้ช่วยหนุนตลาดโดยรวม โดย 9 ใน 11 กลุ่มหุ้นของดัชนี S&P 500 ปรับลง หุ้น UnitedHealth และ Merck นำการปรับลงในดัชนีดาวโจนส์ โดยลดลง 6% และ 4% ตามลำดับ
นักลงทุนรอผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ Apple และ Amazon หลังตลาดปิดทำการ
นอกจากนี้ กำหนดเส้นตายในวันศุกร์ที่จะกำหนดอัตราภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นอย่างมากต่อคู่ค้าสำคัญ ๆ ตั้งแต่อินเดียไปจนถึงบราซิล ของทำเนียบขาว ก็เป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุนเช่นกัน
เมื่อวันพุธ ทรัมป์ กล่าวว่า เขาได้ขยายระยะเวลาภาษีศุลกากรปัจจุบันกับเม็กซิโก ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ออกไปอีก 90 วัน ขณะที่ทั้งสองประเทศ กำลังดำเนินการเพื่อบรรลุข้อตกลงที่ใหญ่ขึ้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า การเจรจากับจีนอยู่ในจุดที่ทั้งสองฝ่าย “มีข้อตกลงร่วมกัน” แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับข้อตกลงที่อาจเกิดขึ้น และไม่ได้ระบุว่าข้อตกลงดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้เมื่อใด
สหรัฐฯ และจีน มีเวลาจนถึงวันที่ 12 สิงหาคม ก่อนที่การสงบศึกเรื่องภาษีศุลกากรที่เข้มงวดจะสิ้นสุดลง
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจ ที่มีการรายงานได้แก่ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE)เดือนมิถุนายน จากกระทรวงพาณิชย์ ที่เพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบรายปี สูงกว่า 2.5% ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ จาก 2.4% ในเดือนพฤษภาคม  ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบรายปี สูงกว่า 2.7% ที่คาดการณ์ไว้ จาก 2.8% ในเดือนก่อนหน้า
กระทรวงแรงงานรายงานจำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ในสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่มขึ้น 1,000 รายมาที่ 218,000 ราย เป็นการปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 7 สัปดาห์ แต่ต่ำกว่า 225,000 รายที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ วันนี้ (1 ส.ค.) รวมทั้งติดตามความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า
ตลาดหุ้นยุโรปปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบกว่าหนึ่งสัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังกับรายงานผลประกอบการของบริษัทต่างๆ มากมาย เช่น Sanofi และ Ferrari ขณะที่หุ้นกลุ่มเครื่องดื่มร่วงลงเนื่องจากต้องเผชิญกับมาตรการภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 15%
การรายงานผลประกอบการในยุโรปกำลังคึกคักอย่างมากในสัปดาห์นี้ ขณะที่นักลงทุนประเมินผลจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อผลประกอบการของบริษัทในช่วงที่เหลือของปี
หุ้นอิตาลีปรับตัวลงมากที่สุด โดยลดลง 1.5%
ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 546.11 จุด ลดลง 4.13 จุด, -0.75%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,132.81 จุด ลดลง 4.13 จุด, -0.05%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,771.97 จุด ลดลง 89.99 จุด, -1.14%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,065.47 จุด ลดลง 196.75 จุด, -0.81%
หุ้น Ferrari ผู้ผลิตรถยนต์หรูอิตาลี ร่วงลง 11.7% ซึ่งเป็นการร่วงลงมากที่สุดในวันเดียวนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อ 9 ปีก่อน นอกจากนี้ ราคาหุ้นยังส่งผลกระทบต่อกลุ่มยานยนต์ในดัชนี STOXX ให้ร่วงลงเกือบ 4%
Ferrari คงคาดการณ์ผลประกอบการประจำปีไว้ และระบุว่าจะปรับลดค่าชดเชยราคาที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้สำหรับรถยนต์บางรุ่นที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา เมื่อข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปมีผลบังคับใช้
หุ้น Sanofi บริษัทผลิตยา ก็ร่วงลง 7.8% หลังจากรายงานผลประกอบการต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ระบุว่าผลกระทบจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ สามารถจัดการได้
ธนาคารในยูโรโซนยังคงปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น 0.7% ด้วยแรงหนุนจาก Societe Generale ที่เพิ่มขึ้น 6.9% หลังปรับเพิ่มเป้าหมายกำไรประจำปี ขณะที่ BBVA เพิ่มขึ้น 7.9% หลังจากกำไรสุทธิไตรมาสที่สองสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
ในเดือนกรกฎาคม กลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 49%  ปรับขึ้นดีกว่าตลาดโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญ
นักการทูตยุโรปคาดว่าผู้ผลิตเครื่องดื่มจะเผชิญกับภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ จนกว่าจะมีการตกลงข้อตกลงใหม่ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินต่อไปในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มลดลง 2.6% และถูกกดดันจากหุ้น Anheuser-Busch InBevบริษัทเบียร์ยักษ์ใหญ่ ที่ร่วงลง 11.6% หลังจากที่รายงานปริมาณการขายลดลง
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมนีระยะสั้นอายุ 2 ปี ที่พุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน ก็สร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นเช่นกัน ตลาดเงินลดความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยมองว่า มีโอกาส 50% ที่ ECB จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มอีก 0.25% ภายในสิ้นปีนี้
สหราชอาณาจักร Shell บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ เพิ่มขึ้น 1.1% หลังจากมีกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้สำหรับไตรมาสนี้
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนกันยายน ลดลง 74 เซนต์ หรือ 1.06% ปิดที่ 69.26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล  และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนกันยายน ลดลง 71 เซนต์ หรือ 0.97% ปิดที่ 72.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–