HoonSmart.com>> ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 316 จุด สวนทางดัชนี S&P 500 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน รับผลประกอบการ Alphabet ดีกว่าคาด โดย AI เป็นตัวเร่งการเติบโตสำคัญ ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับตัวเพิ่มขึ้น ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวก หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) คงอัตราดอกเบี้ยตามคาด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ปิดที่ 44,693.91 จุด ลดลง 316.38 จุด หรือ -0.70% จากการร่วงลงของหุ้น IBM
แต่ดัชนี S&P 500 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน จากผลประกอบการของ Alphabet ที่ดีกว่าคาด โดย AI เป็นตัวเร่งการเติบโตที่สำคัญ
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,363.35 จุด เพิ่มขึ้น 4.44 จุด, +0.07%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,057.96 จุด เพิ่มขึ้น 37.94 จุด, +0.18%
ดัชนีดาวโจนส์ ร่วงลงอย่างหนักจากราคาหุ้นของ IBM ที่ร่วงลงกว่า 7% หลังจากรายได้จากซอฟต์แวร์ในไตรมาสที่สองต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
Alphabet ทำกำไรไตรมาสสองได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และทุ่มงบลงทุนด้าน AI มากขึ้นเป็นสองเท่า ราคาหุ้นของ Alphabet บริษัทแม่ของ Google ปรับตัวสูงขึ้น 1% ควบคู่ไปกับหุ้นอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับ AI เช่น Nvidia ซึ่งช่วยหนุนดัชนีที่เน้นเทคโนโลยี
แต่หุ้นของ Tesla ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มMagnificent Sevenร่วงลง 8% หลังจากที่รายได้ลดลง ยอดขายในยุโรปตกต่ำอย่างต่อเนื่อง และคำเตือนจากซีอีโอ Elon Musk ที่ว่าบริษัทกำลังเผชิญกับ สถานการณ์ที่ยากลำบาก เนื่องจากร่างกฎหมายงบประมาณของประธานาธิบดีทรัมป์ยกเลิกเครดิตภาษี
ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากความหวังในการบรรลุข้อตกลงการค้าที่ยังคงเพิ่มอย่างต่อเนื่อง หลังจากข้อตกลงสหรัฐฯ-ญี่ปุ่นช่วยผลักดันให้ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq Composite ทำสถิติใหม่อีกครั้งในวันพุธ
สื่อรายงานว่า สหภาพยุโรปและสหรัฐฯ กำลังใกล้บรรลุข้อตกลงที่จะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่จากยุโรปในอัตรา 15% แทนที่จะเป็น 30% ตามที่เคยขู่ไว้
อัตราดังกล่าวกำลังกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่อาจเกิดขึ้นสำหรับภาษีศุลกากรตอบโต้ ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม ตามความเห็นของประธานาธิบดีนัลด์ ทรัมป์เมื่อค่ำวันพุธ ก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้กำหนดอัตราพื้นฐาน 10% ให้กับประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ในเดือนเมษายน
นักลงทุนยังให้ความสนใจกับความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ทำเนียบขาวระบุว่าทรัมป์จะเดินทางเยือนธนาคารกลางสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นยกระดับการกดดันต่อประธานเฟดเจอโรม พาวเวลล์ และเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสองทศวรรษที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเดินทางเยือนธนาคารกลางอย่างเป็นทางการ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงาน ได้แก่ การยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจาก กระทรวงแรงงาน ที่มีจำนวนลดลง 4,000 ราย มาที่ 217,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายนและต่ำกว่า 227,000 รายที่ตลาดคาด
กระทรวงพาณิชย์รายงานยอดขายบ้านใหม่เดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 0.6% มาที่ 627,000 ยูนิต แต่ต่ำกว่า 650,000 ยูนิต ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) คงอัตราดอกเบี้ยตามที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนต่างขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของธนาคารขนาดใหญ่ และความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่คลี่คลายลง
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 551.55 จุด เพิ่มขึ้น 1.33 จุด, +0.24% ซึ่งระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,138.37 จุด เพิ่มขึ้น 76.88 จุด, +0.85%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,818.28 จุด ลดลง 32.15 จุด, -0.41%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,295.93 จุด เพิ่มขึ้น 55.11 จุด, +0.23%
แต่ตลาดหุ้นอ่อนตัวลงจากจุดสูงสุด เนื่องจากนักลงทุนลดความคาดหวังเกี่ยวกับการผ่อนคลายนโยบายการเงินในอนาคต หลังจากที่คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า ผู้กำหนดนโยบายให้ความสำคัญกับแนวโน้มการค้าและผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากขึ้น ก่อนที่จะตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม
ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เปลี่ยนไป โดยนักลงทุนลดการคาดการณ์ต่อการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมนีอายุ 2 ปีก็พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน และส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น
มาร์เชล อเล็กซานโดรวิช นักเศรษฐศาสตร์จาก Saltmarsh Economics กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยที่ 2%ยังคงอยู่ที่ระดับกลางของกรอบอัตราดอกเบี้ย 1.5% ถึง 2.5% ของ ECB อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนมีสูงมาก และหากความตึงเครียดทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้น อาจจำเป็นต้องมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในช่วงปลายปีเพื่อช่วยสนับสนุนความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและผู้บริโภค
ท่าทีระมัดระวังของธนาคารกลางมีขึ้นในขณะที่อัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนกลับมาอยู่ที่เป้าหมาย 2% ของ ECB พร้อมกับสัญญาณของความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นส่วนใหญ่ยังคงได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป หลังจากที่คณะกรรมาธิการยุโรประบุว่าสามารถบรรลุข้อตกลงได้ โดยภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรปไปยังสหรัฐฯ น่าจะลดลงเหลือ 15% จากเดิมที่จัดเก็บภาษี 30% ที่มีกำหนดจะเริ่มในวันที่ 1 สิงหาคม
ความตึงเครียดด้านการค้าที่ผ่อนคลายลงส่งผลให้ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวขึ้นประมาณ 18% จากระดับต่ำสุดในเดือนเมษายน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้กำหนดมาตรการภาษีศุลกากรต่อคู่ค้าในอัตราที่สูง อย่างไรก็ตาม ดัชนียังคงห่างจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมีนาคมประมาณ 2%
กลุ่มธนาคารปรับขึ้นหลังจากกำไรไตรมาสที่สองของ Deutsche Bank และ BNP Paribas ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยดัชนีธนาคารในยูโรโซนแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008
Deutsche Bank ธนาคารพาณิชย์ของเยอรมนีพุ่งขึ้น 9.1% ขณะที่ BNP Paribas ธนาคารของฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากพุ่งขึ้นเกือบ 3% ในช่วงต้นวัน
หุ้น Roche บริษัทยาสวิสเพิ่มขึ้น 1.4% หลังจากรายงานกำไรจากการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ Deutsche Telekom เพิ่มขึ้น 5% หลังจากที-โมบายล์ บริษัทลูกในสหรัฐฯ ประกาศผลประกอบการไตรมาสสองที่แข็งแกร่ง ทั้งสองบริษัทเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันดัชนี STOXX 600
Nestle บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของสวิสลดลง 4.6% หลังจากที่ประกาศทบทวนกลยุทธ์ธุรกิจวิตามินและประกาศผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก
หุ้น STMicro ผู้ผลิตชิปร่วงลง 16.6% ซึ่งเป็นการลดลงในวันเดียวที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากขาดทุนรายไตรมาสครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษ
ในส่วนของข้อมูล ผลสำรวจล่าสุดแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมทางธุรกิจในยูโรโซนเร่งตัวขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนนี้
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 78 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 66.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 67 เซนต์ หรือ 0.98% ปิดที่ 69.18 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
