HoonSmart.com>>”การบินไทย”(THAI) พร้อมลงสนามเทรด SET 4 ส.ค.68 โชว์จุดแกร่งรอบด้าน ทั้งธุรกิจ การเงิน ความสามารถทำกำไร บริหารงานโปร่งใส ซีอีโอเผยราคาหุ้นเพิ่มทุนที่ 4.48 บาท P/E 4 เท่า เทียบคู่แข่งเฉลี่ย 6-7 เท่า นักวิเคราะห์ให้มากกว่านั้น เห็นอนาคตสดใส บริษัทตั้งงบลงทุน 5 ปี รวม 1.7 แสนล้านบาท กระแสเงินสดสูงถึง 1.2 แสนล้านบาท ด้านคลังยันกอดหุ้นใหญ่ 38.90% พอแล้วไม่เพิ่มเป็นรัฐวิสาหกิจ พร้อมพิจารณาจ่ายเงินปันผลจากกำไรปีนี้

นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการ บริษัท การบินไทย (THAI) เปิดเผยว่า การบินไทยจะเติบโตยิ่งขึ้นและจะโตอย่างยั่งยืน หลังใช้วิกฤตที่ผ่านมามองเป็นโอกาสในการสร้างความแข็งแกร่ง สถานะของบริษัทฯในวันนี้ถือได้ว่าอยู่ในจุดที่ดีที่สุดในทุกๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นสถานะทางการเงิน ประสิทธิภาพ และขีดความสามารถในการแข่งขัน ทิศทางการเจริญเติบโตชัดเจน และยุทธศาสตร์ที่จะใช้ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างองค์กรที่มีขนาดและความซับซ้อนที่เหมาะสมต่อขนาดธุรกิจ ค่าใช้จ่ายบุคลากรที่อยู่ในระดับที่มีประสิทธิภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสายการบินชั้นนำในระดับเดียวกัน แต่ยังมีความยืดหยุ่น และสามารถเปลี่ยนแปลงตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งให้ความสำคัญในการส่งเสริมการกำกับดูแลกิจการที่ดี และมีความมุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2608 (ค.ศ. 2065)
” การบินไทยจะบินได้ไกลและบินได้สูงขึ้น ต่อยอดความสำเร็จจากการฟื้นฟูกิจการให้ก้าวไปสู่รากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการเป็นองค์กรที่โปร่งใส มีหลักธรรมาภิบาลที่ดี ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนในระยะยาว”
ปัจจุบันกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 38.90% ยังคงถือหุ้นต่อไป เพื่อให้การบินไทยยังคงเป็นบริษัทเอกชน ไม่กลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจ และพร้อมสนับสนุนทางการเงินทุกครั้งเมื่อบริษัทต้องการนำไปขยายการลงทุน แนวโน้มการดำเนินงานยังคงเติบโตได้ ในระยะอันใกล้ไม่มีปัจจัยลบอะไรมาเซอร์ไพรส์ คณะกรรมการบริษัทฯพร้อมจะพิจารณาจ่ายเงินปันผลจากกำไรในปีนี้ เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น และสนับสนุนการพัฒนาบุคคลากร
ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการและอดีตประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย กล่าวว่า การบินไทยสร้างความสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการภายในระยะเวลาเพียง 4 ปี กำไรเติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง สะท้อนถึงความสำเร็จของกระบวนการฟื้นฟูกิจการอย่างชัดเจน ในปี 2567 สามารถสร้างกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) สูงถึง 41,515 ล้านบาท และยังคงรักษาโมเมนตัมการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเห็นได้จากในไตรมาส 1/2568มีกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 13,661 ล้านบาท หรือคิดเป็น EBIT margin สูงที่สุดในกลุ่มสายการบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบในเอเชียแปซิฟิกและยุโรปที่ 26.5% (แหล่งที่มาจาก Airline Weekly) แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยม และที่สำคัญคือมีคณะกรรมการชุดใหม่ ซึ่งจะขับเคลื่อนองค์กร เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน โปร่งใส และแข่งขันได้ในระดับโลก
“นี่คือการบินไทยในโครงสร้างใหม่ที่แข็งแกร่งมาก เทียบกับช่วงก่อนโควิด รวมถึงการให้บริการที่แข็งแกร่งด้วย พร้อมทะยานสู่ความสำเร็จในระยะยาว ส่วนการลงทุนฝูงบินใหม่ เพื่อขยายตลาด ส่วนแบ่งตลาดในประเทศค่อยๆเพิ่มขึ้น แต่ยังต่ำกว่า 10 ปีที่ผ่านมา หลังจากลดลงมาตลอด 20 ปี”ดร.ปิยสวัสดิ์
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย กล่าวว่า การเติบโตในปัจจุบันไม่ใช่เป็นเพียงการฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิดแต่เป็นแรงขับเคลื่อนที่มาจากโครงสร้างหลากหลายด้านและการวางกลยุทธ์ระยะยาวอย่างชัดเจน เช่นตั้งเป้าจะมีเครื่องบินจำนวน 150 ลำในปี 2576 ซึ่งลดจำนวนแบบเครื่องบินจาก 8 แบบเหลือเพียง 4 แบบ และลดจำนวนเครื่องยนต์จาก 9 แบบเหลือ 5 แบบส่งผลให้สามารถควบคุมต้นทุนในการดำเนินงานและซ่อมบำรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดจากปัจจุบันที่ 26% เป็น 35% ภายในปี 2572 เท่ากับอดีต
การขยายเส้นทางและความถี่ในการบินเพื่อมุ่งสู่การเป็น regional network airline เชื่อมต่อระดับภูมิภาคและระหว่างทวีป การปรับปรุงบริการห้องโดยสารและช่องทางการขายเพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพซึ่งรวมถึงอย่างเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันเพื่อให้ใช้งานสะดวกมากยิ่งขึ้น และสร้างโอกาสในการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากช่องทางการขายตรง เป็นต้น ทำให้ผลงานปี 2567 มีรายได้ 1.8 แสนล้านบาท กำไรอัตรากำไรสุทธิหักรายการพิเศษสูงถึง 22% นับว่าสูงมาก เทียบกับสายการบินอื่น โดยที่มีจำนวนเครื่องบินจำนวน 78 ลำ เทียบกับปี 2551 ที่มีจำนวน 103 ลำ แต่กลับมีรายได้ กำไรและอัตรากำไรเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง เพราะให้ความสำคัญกับเรื่องลดค่าใช้จ่ายทุกด้าน ไม่เฉพาพเรื่องพนักงานเท่านั้น
“การบินไทยพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเพื่อก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมการบินระดับภูมิภาคอย่างแข็งแกร่งในอนาคต ”
นายชายกล่าวว่า การบินไทยจะเร่งเพิ่มส่วนแบ่งตลาด เช่น ที่สนามบินสุวรรภูมิ ให้กลับไปอยู่ที่สัดส่วน30% ในปี 2572 หากปล่อยให้ฐานธุรกิจต่ำเกินไป ทำให้ลูกค้าเลือกใช้บริการน้อยลง ล่าสุดมีรายงานว่ามี 117 สายการบินเข้ามาไทย สะท้อนถึงความอ่อนแอมาก จึงเปิดโอกาสให้คู่แข่งเข้ามาได้ ซึ่งในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ได้ปรับกลยุทธ์ เพิ่มสายการบินตุรกีเป็นพันธมิตร และเป็นฮับหนึ่งในการบินเข้ายุโรป มากกว่า 120 เมือง เพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 22% จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 15% มั่นใจในอนาคตจะเติบโตได้อีกมาก จากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีการเติบโตที่สูงมาก
ส่วนราคาหุ้น THAI วันแรก 4 ส.ค. 2568จะเป็นอย่างไร ไม่มีซิลลิ่งและฟลอร์ ขึ้นอยู่กับสภาพตลาด โดยบริษัทการบินไทย มีกำไรต่อหุ้น 1.80 บาท เฉลี่ยย้อนหลัง 12 เดือน เมื่อเทียบกับราคาหุ้นเพิ่มทุนที่ 4.48 บาท ได้ P/E อยู่ที่ 4 เท่า ขณะที่ P/E เฉลี่ยของคู่แข่ง เช่น สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค สายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ อยู่ที่ 6-7 เท่า
จากการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์เบื้องต้น พบว่าให้ราคา THAI สูงกว่าราคาเพิ่มทุนที่ 4.48 บาท บางแห่งประเมินค่า P/E สูงกว่า 7 เท่าของคู่แข่ง เนื่องจาก P/E เท่า คำนวณจากกำไรต่อหุ้นในอดีต ซึ่งอุตสาหกรรมการบินยังไม่ดี แต่ปัจจุบันและอนาคตมีโอกาสเติบโตขึ้นมาก
นอกจากนี้นายชายยังกล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีหลังว่า ยังคงเติบโตที่ดีขึ้นมาก เมื่อพิจารณาจากยอดขายตั๋วล่วงหน้า 3-6 เดือน รวมถึงกลยุทธ์การขายที่มีพันธมิตรสร้างเครือข่าย เพื่อบริหารรายได้และความเสี่ยง ไม่พึ่งพาจุดใดจุดหนึ่ง รวมถึงอัตรากำไรที่ดีขึ้น
นางเฉิดโฉม เทอดสถีรศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงินและการบัญชี บริษัท การบินไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและมั่นคงกว่าเดิมมาก สะท้อนจากความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 187,989 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.7% รวมถึงมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 41,515 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไร (EBIT Margin) 22.1%
โครงสร้างรายได้ส่วนใหญ่ประมาณ 50% มาจากเอเชีย ส่วนยุโรปมีสัดส่วน 30-35 % ออสเตรเลีย เกือบ 10% และประเทศไทย 10% ขณะที่มีการบริหารค่าใช้จ่ายและต้นทุน ปี 2567 มีจำนวน 146,472 ล้านบาท สัดส่วนประมาณ 10% เป็นเรื่องน้ำมัน 12% เป็นค่าใช้จ่ายเรื่องพนักงาน และ 10% และเป็นค่าเช่า อัตรากำไรดีขึ้นมาก
ส่วนไตรมาสที่ 1/ 2568 มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 51,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.3% กำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 13,661 ล้านบาท อัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เท่ากับ 83.3% และ อัตราผลตอบแทนต่อผู้โดยสาร (Passenger Yield) เท่ากับ 2.91 ใกล้เคียงกับปีก่อน และความสำเร็จจากการแปลงหนี้และดอกเบี้ยตั้งพักของเจ้าหนี้เป็นทุนกว่า 53,453 ล้านบาท และเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการฟื้นฟูกิจการและพนักงานของบริษัทฯกว่า 22,987 ล้านบาท ในปี 2567 ที่ผ่านมา
“ส่วนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 มี.ค. 2568 กลับเป็นบวกที่ 55,439 ล้านบาท จากเดิมที่ติดลบ 43,142 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 และสามารถลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD/E Ratio) เหลือเพียง 2.2 เท่า จาก 12.5 เท่า ในปี 2562 ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงสถานะทางการเงินที่มั่นคง โดยไม่มีการปรับโครงสร้างหนี้ด้วยการลดยอดหนี้ลง (Hair Cut) ส่วนหนี้เงินต้นของเจ้าหนี้ทางการเงินและเจ้าหนี้การค้า ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ส่วนใหญ่ของการบินไทย มีกำหนดคืนหนี้ชัดเจนแล้วตามแผนฟื้นฟู จนถึงปี 2579 ความสำเร็จนี้เป็นผลจากการทำงานอย่างหนัก วินัยทางการเงินที่เข้มงวด ตลอดจนความร่วมมือจากเจ้าหนี้ พนักงานการบินไทยทุกคนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน”
ปัจจุบันการบินไทยมีกระแสเงินสดในมือ 1.25 แสนล้านบาท ขณะที่มีหนี้สิน 1.23 แสนล้านบาท เพียงพอในการดูแลเรื่องการลงทุน และมีกำไรทุกปี มั่นใจว่ากำไรจะเติบโตได้ 5 ปี จึงตัดสินใจลงทุนตั้งงบไว้ 5 ปี จำนวน 1.7 แสนล้านบาท เพื่อจัดหาเครื่องบินใหม่ 1.2 แสนล้านบาท และปรับปรุง 2 หมื่นล้านบาท สำหรับที่สนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมือง หากได้รับอนุมัติให้ลงทุนสนามบินอู่ตะเภา คาดจะใช้เงิน 1 หมื่นล้านบาทในการเพิ่มฝูงบิน
“เรามีกระแสเงินสดในมือ และกำไรที่จะเพิ่มเข้ามา สามารถรองรับการลงทุนในช่วง 2 ปีแรกได้ ส่วนปีที่ 3 จะจัดหาแหล่งเงินทุนระยะยาวที่มีความเหมาะสม พิจารณาเรื่องต้นทุน และเงื่อนไขที่ดีที่สุด ขณะนี้ได้มีการเจรจากับธนาคารพาณิชย์ และ US EXIM BANK โดยมีสถาบันการเงินบางแห่งเสนอให้กู้แล้ว”นางเฉิดโฉมกล่าว
อ่านข่าวอื่นๆ : https://hoonsmart.com/archives/368442
