“อีสท์สปริง”ลุ้นภาษีสหรัฐฯ ชี้ชะตาหุ้นไทย ดีสุดหนุนดัชนีพุ่ง 1,250 จุด กรณีแย่หลุด 1,000

HoonSmart.com>> บลจ.อีสท์สปริง ชี้ทิศทาง “หุ้นไทย” ขึ้นกับ “ผลเจรจาภาษีการค้าสหรัฐฯ” กรณีถูกเก็บอัตรา 20% เท่าเวียดนาม หนุนดัชนีขึ้นได้ต่อ กรณีไม่เป็นอย่างคาดระวัง Sell on Fact ดาวน์ไซด์ดัชนี 1,060 จุด หากถูกเก็บภาษีต่ำกว่า 20% รัฐออกมาตรการกระตุ้นชัดเจนหนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว ดึงฟันด์โฟลว์ไหลกลับ โอกาสเห็นดัชนีแตะ 1,250 จุด แนะ “หุ้นปันผล-กลุ่ม Defensive” รับมือความไม่แน่นอน

บดินทร์ พุทธอินทร์

นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยยังขึ้นอยู่กับผลการเจรจาภาษีการค้าสหรัฐฯ (Tariff) ที่จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ส.ค.68 นี้ ซึ่งก่อนรู้ผลการเจรจาภาษี ดัชนีอาจเคลื่อนไหวแถว 1,200-1,225 จุด บนเงื่อนไขไม่มีปัจจัยลบใหม่ จากความคืบหน้าล่าสุดที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง หลังเข้าเจรจากับสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะถูกจัดเก็บภาษีประมาณ 20%

นอกจากนี้ยังต้องติดตามประเด็นการเมือง การเบิกจ่ายงบประมาณ หากไม่เกิดเหตุการณ์พลิกผันทางการเมืองก่อนเดือนส.ค.นี้ และสามารถเบิกจ่ายงบได้

“ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาในรอบนี้เกือบ 100 จุด ตามความคาดหวังการเจรจาภาษีการค้าสหรัฐจะได้ดีลภาษีที่น้อยกว่า 36% ถ้าเป็นไปตามข่าวออกมา จะหนุนให้ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้แถว 1,200-1,250 จุด จากที่ผ่านมาหุ้นไทยได้ปัจจัยขับเคลื่อนจาก P/E ที่เทรดระดับต่ำ 12.1 เท่า ในขณะที่การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) เท่าเดิมที่ระดับ 90 บาท/หุ้น แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือ Forword P/E หุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาจากความหวังผลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ”นายบดินทร์ กล่าว

อย่างไรก็ตามหากผลการเจรจาออกมาผิดคาดอาจเห็นแรงขาย Sell on Fact และดัชนีอาจลงไปแถวประมาณ 1,040 – 1,050 จุด เหมือนช่วงที่ดัชนีตกลงไปหลังสหรัฐฯประกาศเก็บภาษีไทยในอัตรา 36% ดัชนีลงแถว 1,060 จุด

บลจ.อีสท์สปริง ประเมินความเป็นไปได้ของการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ ไว้ 3 กรณี ได้แก่

กรณีฐาน (Base Case) หากไทยถูกเรียกเก็บภาษี 20% เท่าเวียดนาม คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 1.5-2% บนสมมติฐานที่ภาครัฐเบิกจ่ายงบประมาณได้ ถึงแม้ฟันด์โฟลว์ยังไหลออก ซึ่งประเมินดัชนี SET อยู่ที่ 1,040 – 1,200 จุด

กรณีเลวร้ายที่สุด (Worst Case) หากไทยถูกเก็บภาษี 36% ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่แน่นอนสูงและอาจทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่า 1.5% นักลงทุนต่างชาติยังขายหุ้นต่อเนื่อง มีโอกาสที่ดัชนีจะหลุด 1,000 จุด หรืออาจแกว่งตัวในกรอบ 940-1,040 จุดได้ ถือเป็นกรณีที่แย่ (Bearish)

กรณีดีสุด (Best Case) หากไทยถูกเก็บภาษีน้อยกว่า 20% และภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นชัดเจน หนุนให้เศรษฐกิจพื้นตัว และฟันด์โฟลว์ไหลกลับ คาดว่าดัชนีมีโอกาสขึ้นไปแถว 1,200-1,250 จุด (Bullish)

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไทยจะสูญเสียจากการเก็บภาษีของสหรัฐฯ คือ การเปิดตลาดสินค้าเกษตรและกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งสองกลุ่มนี้ตลาดสหรัฐฯ อยากมาเปิดในอาเซียน โดยอินโดนีเซียและเวียดนามก็ถูกสหรัฐฯวางเงื่อนไขนี้ ซึ่งทำให้ภาคส่งออก ผู้ประกอบการมีต้นทุนเพิ่มและส่งผลกระทบต่อกำไร ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตช้ากว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น เนื่องจากความผันผวนจากสงครามการค้า

สำหรับกลุ่มหุ้นที่แนะนำลงทุน ได้แก่ หุ้นกลุ่มปันผล ซึ่งปัจจุบันอัตราจ่ายปันผลสูงขึ้นเป็น 7-8% ซึ่งหากมีปัจจัยกดดันเข้ามาเพิ่มกระทบราคาหุ้นลดลง การมีปันผลจะช่วยทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับถูกกระทบน้อยกว่า รวมทั้งมองหุ้นกลุ่ม Defensive อาทิ โรงพยาบาล เป็นกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับกลยุทธ์หุ้นไทย

นายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.อีสท์สปริง กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีดัชนีหุ้นไทย (SET) ติดลบประมาณ 20% เมื่อเทียบดัชนี SETHD ติดลบประมาณ 5-6% เท่านั้น ซึ่งหุ้นในกลุ่ม SETHD ประกอบด้วยหุ้นกลุ่มแบงก์ สื่อสาร โรงพยาบาลและกลุ่มคอนซูเมอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้นำตลาด ค่อนข้างแข็งแกร่งและเป็นที่สนใจของนักลงทุนในช่วงตลาดผันผวนสูง ถือเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ

“การลงทุนในหุ้นไทย แนะนำกลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นหุ้นปันผลสูง เพื่อช่วยลดความผันผวนและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง และมองกองทุนที่ลงทุนโดยใช้ SETHD เป็นดัชนีเปรียบเทียบ น่าสนใจในช่วงครึ่งปีหลัง”นายยิ่งยง กล่าว

 
 
 
 
 
อ่านข่าว

บลจ.อีสท์สปริงชู 5 ธีมลงทุนเด่นครึ่งปีหลัง รับมือภาวะตลาดโลกผันผวน