HoonSmart.com>> “กองทุนรวม” ครึ่งปีแรกปี 68 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิแตะ 5.98 ล้านล้านบาท เติบโต 7.95 หมื่นล้านบาท หรือ 1.35% จากสิ้นปีก่อน นักลงทุนโยกเงินเข้ากองทุนตราสารหนี้หนุนโตต่อเนื่องมูลค่าทะลุ 3 ล้านล้านบาท ด้านกองทุนผสมเด่นมูลค่าเพิ่มขึ้น 10% หลังสงครามตะวันออกกลาง ภาษีทรัมป์ฉุดตลาดการลงทุนผันผวนทั่วโลก นักลงทุนกระจายลงทุนนอกผ่านกองทุน FIF โต มูลค่าเฉียด 1.4 ล้านล้านบาท ฟาก “บลจ.กสิกรไทย” มาร์เก็ตแชร์อันดับหนึ่ง เม็ดเงินบริหารจัดการมูลค่าเพิ่มขึ้น 8.3 หมื่นล้านบาท สูงกว่าอุตสาหกรรม

สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เปิดเผยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุนรวมทั้งระบบในช่วง 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2568 มีมูลค่า 5,988,226 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79,500 ล้านบาท หรือ 1.35% จากสิ้นปี 2567 มี NAV อยู่ที่ 5,908,726 ล้านบาท จากจำนวนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) 23 แห่ง และมีจำนวนกองทุนรวม 3,399 กองทุน จากสิ้นปีก่อนมีจำนวน 3,312 กองทุน

กองทุนตราสารหนี้ เติบโตต่อเนื่อง 221,893 ล้านบาท หรือ 7.72% แตะ 3,097,690 ล้านบาท จากสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 2,875,797 ล้านบาท และเป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่สุดเมื่อเทียบกองทุนรวมทั้งระบบ ส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 51.73%
กองทุนตราสารทุน มีขนาดใหญ่อันดับสองมี NAV อยู่ที่ 1,596,497 ล้านบาท ลดลง 188,016 ล้านบาท หรือ -10.54% จากสิ้นปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 1,784,514 ล้านบาท
กองทุนรวมผสม NAV อยู่ที่ 391,615 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36,781 ล้านบาท หรือ 10.37% จากสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 354,834 ล้านบาท
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน NAV อยู่ที่ 340,028 ล้านบาท ลดลง 11,053 ล้านบาท หรือ -3.15% จากสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 351,081 ล้านบาท
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) NAV อยู่ที่ 322,345 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62,505 ล้านบาท หรือ 24.06% จากสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 259,840 ล้านบาท
หากแยกรายประเภทกองทุนในช่วง 6 เดือนแรก กองทุนรวมเพื่อไปลงทุนต่างประเทศ (FIF) เติบโตต่อเนื่องแตะ 1,397,423 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45,121
ล้านบาท หรือ 3.34% จากสิ้นปีที่ผ่านมา
สำหรับกองทุนรวมน้องใหม่ในกลุ่มลดหย่อนภาษีอย่าง “กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนพิเศษ” (Thai ESGX) จากมาตรการของภาครัฐที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) และเพิ่มเสถียรภาพตลาดทุนไทย โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับเงินลงทุนใหม่และการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ไป Thai ESGX ในระยะ 2 เดือน ระหว่างเดือนพ.ค. – มิ.ย.2568 เท่านั้น มีจำนวนกองทุน 86 กองทุน
ทั้งนี้ ข้อมูลสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยยอดเงินลงทุนตามมาตรการกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thailand ESG Extra Fund : Thai ESGX) ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2568 รวม 32,168 ล้านบาท ในระยะเวลา 2 เดือน ตอบโจทย์ผู้ถือหน่วย LTF ในกลุ่มที่มีเงินลงทุนไม่เกิน 500,000 บาท โดยแบ่งเป็นเงินที่สับเปลี่ยนจาก LTF ประมาณ 25,091 ล้านบาท และเป็นเงินลงทุนใหม่ประมาณ 7,077 ล้านบาท ซึ่งยอดสับเปลี่ยนดังกล่าวคิดเป็น 79% ของมูลค่ากลุ่มผู้ถือหน่วยลงทุน LTF ที่มีมูลค่าการลงทุนไม่เกิน 500,000 บาท
ด้านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) 5 อันดับแรก ที่มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารสูงสุด ได้แก่ บลจ.กสิกรไทย มูลค่า 1,379,352 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83,045 ล้านบาท หรือ 6.41% จากสิ้นปีก่อนและครองส่วนแบ่งการตลาด 23.03% รองลงมา บลจ.ไทยพาณิชย์ มูลค่า 1,079,902 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,402 ล้านบาท หรือ 0.50% มีส่วนแบ่งตลาด 18.03% อันดับสาม บลจ.บัวหลวง มูลค่า 733,461 ล้านบาท ลดลง 35,371 ล้านบาท หรือ -4.60% มีส่วนแบ่งตลาด 12.25% อันดับสี่ บลจ.กรุงไทย มูลค่า 717,750 ล้านบาท ลดลง 8,782 ล้านบาท หรือ -1.21% มีส่วนแบ่งตลาด 11.99% และอันดับห้า บลจ.กรุงศรี มูลค่า 513,865 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31,778 ล้านบาท หรือ 6.59% และมีส่วนแบ่งตลาด 8.58%
