“กรณ์”แนะเปิดภาษี 0% ตรึง-ดึง FDI “ฟินโนมีนา”แนะลงทุนหุ้นนอก 50%

HoonSmart.com>>'”กรณ์ จาติกวณิช” แนะเปิดตลาดให้สหรัฐฯ 0% ทุกอุตสาหกรรม ตรึง-ดึงเงินลงทุนต่างประเทศ รื้องบ’69 จัดแผนเยียวยาธุรกิจ ด้าน Finnomena แนะหุ้นต่างประเทศ 50% ตลาดไทยลงในหุ้นปันผลสูง รับความผันผวน

นายกรณ์ จาติกวณิช ในฐานะประธานกรรมการและกรรมการอิสระ ฟินโนมีนา และอดีต รมว.คลัง กล่าวในงาน “Looking Ahead Together The Trump Effect on 2025 Market” ว่า จากกรณีที่สหรัฐอเมริกา ส่งจดหมายเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากับประเทศไทยที่อัตรา 36% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ถือเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด (Worst Case Scenario) จากผลการเจรจาทางการค้า เพราะเป็นระดับที่ไม่ได้ลดหย่อนหลังจากที่ Donald Trump ประกาศ Reciprocal Tariff ครั้งแรก ซึ่งได้สร้างความท้าทายอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจไทย ความผันผวนของตลาดทุน รวมถึงกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ

“ถ้าผมอยู่ในทีมเจรจาเศรษฐกิจ จะตัดสินใจเจรจาแบบเชิงรุก ร่วมมือกับกลุ่มประเทศในอาเซียนเปิดโต๊ะเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ผ่านเวทีการประชุมองค์การค้าโลก WTO เพื่อเพิ่มพลังการต่อรอง ขยายความร่วมมือทางการค้า และหาทางออกในรูปแบบที่ยั่งยืน พร้อมแสดงความจริงใจด้วยและทำการสื่อสารข้อมูลที่ครบถ้วนกับคนไทย เพราะสุดท้ายแล้วผลของการเจรจาต้องมีผู้ที่เสียผลประโยชน์ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะ Win-Win ทุกฝ่าย” นายกรณ์ กล่าว

นายกรณ์ กล่าวว่า ไทยต้องได้ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ไม่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เช่น เวียดนาม ที่ได้ 20% แลกกับการเปิดตลาดแบบเต็มที่ ภาษี 0% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐ หากไทยต้องการอัตราภาษีแบบเดียวกัน ก็จำเป็นต้องเปิดตลาดเต็มรูปแบบเช่นกัน คือ ลดภาษีนำเข้าเป็น 0% ทุกอุตสาหกรรม

ถ้าไทยยังคงภาษีนำเข้าไว้ที่ 36% จะทำให้เงินลงทุนตรง(FDI) หายไปเลย เพราะไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องลงทุนในไทย ในเมื่อไปประเทศอื่นภาษีต่ำกว่า และต้นทุนแรงงานต่ำกว่า

“อุตสาหกรรมไทยแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มส่งออก มีผลในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง แต่ส่งออกบางอุตสาหกรรมมีการจ้างงานน้อย กับ กลุ่มเกษตร ที่มีคนเกี่ยวข้องจำนวนมากแต่ขับเคลื่อนจีดีพีน้อยราวๆ 8% รัฐบาลต้อง รัฐบาลต้องเลือก เพราะวันนี้การเจรจากับสหรัฐ ไม่มีการวินวินทั้ง 2 ฝ่าย เพราะสหรัฐต้องการวินฝ่ายเดียว ไทยต้องแลก ซึ่งการที่เปิดภาษี 0% แล้วก็ยังไม่แน่ใจว่าไทยจะแข่งกับเวียดนามได้ เพราะตอนนี้เวียดนามทำแผนปฏิรูปเศรษฐกิจแล้ว ไทยเรายังไม่เห็น”นายกรณ์ กล่าว

ลงหุ้นนอก50% ไทยเน้นปันผลสูง

นายชยนนท์ รักกาญจนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง ฟินโนมีนา แนะนำว่าในยุคสถานการณ์ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยยังสามารถที่จะเลือกลงทุนได้ในกลุ่ม SETHD Index หรือหุ้นปันผลสูง ที่มีราคาลงมามากแล้ว และหลายบริษัทปันผลระดับ 7% ซึ่งเป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติยังถือลงทุน

ทั้งนี้ แนะนำให้รอเก็บบริเวณ 1,000 จุด ซึ่งเป็นแนวรับที่ค่อนข้างแข็งแกร่งจากการมีเงิน LTF หนุนอยู่ประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยแนวต้าน 1,350 จุด จากการที่มองว่าถ้าสถานการณ์ภาษีการค้าจบ ตลาดหุ้นประเทศต่างๆ จะกลับมาฟื้นตัว ตลาดหุ้นไทยก็จะอยู่ในเทรนด์เดียวกัน

“แนะนำจัดพอร์ตหุ้น 50% ในจำนวนนี้เป็นหุ้นสหรัฐ 25% อีก 25% เป็นหุ้นตลาดเกิดใหม่ไม่รวมจีน อีก 40% เป็นตราสารหนี้ และ 10% เป็นสินทรัพย์ทางเลือก เช่นทองคำ โดยหุ้นต่างประเทศสามารถลงทุนผ่าน DR ได้”นายชยนนท์ กล่าว

นายวศิน ปริธัญ Managing Director บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟิฟินิท จำกัด ในเครือของ ฟินโนมีนา กรุ๊ป  กล่าวถึงผลกระทบของ Trump Tariff ว่า ๆในระยะสั้นจะเป็นปัจจัยเชิงลบต่อประเทศที่โดนภาษีในอัตราที่สูง ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอการเติบโต และคาดว่าจะเห็นความผันผวนของตลาดหุ้นแบบ Sideway

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตลาดคงไม่ถึงขั้นปรับฐานแบบลงลึก เพราะราคาลงมามากแล้ว แต่จะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาได้ในระยะยาว ดังนั้น จึงแนะนำเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์จากความผันผวนอย่างกองทุนที่มีนโยบายกระจายความเสี่ยงแบบ Multi Asset เช่น ES-GAINCOME หรือกองทุนหุ้นโลกสาย Defensive ที่หาประโยชน์จากความผันผวน และมี Option Strategy เช่น K-GPINUH โดยเตรียบสภาพคล่องบางส่วนเพื่อเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเมื่อตลาดปรับฐาน

นอกจากนี้ สินทรัพย์ทางเลือกประเภท Alternative Assets เช่น Hedge Fund ถือว่าตอบโจทย์ในการกระจายความเสี่ยง ด้วยความผันผวนที่ต่ำ และมีโอกาสทำกำไรทั้งตลาดขาขึ้นและลง (Long-Short)

สร้าง FA ใหม่ 1,000 คน

นายกสิณ สุรรรมนัส Chief Strategy Officer, Finnomena Group ระบุว่า down side ของตลาดหุ้นไทยมีจำกัด จากการที่ราคาหุ้นลงมาต่ำมากในระดับใกล้เคียงปี 2551 ที่เป็นช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ โดย price to book value ratio ลงมาอยู่ระดับ 1 เท่า

วิกฤตและความผันผวนเป็นเรื่องที่พบเจอได้ตลอดในโลกการลงทุน ในทุก ๆ ปี จะเจอเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อตลาด ซึ่งสถิติในอดีตก็ชี้ว่าเราผ่านมาได้ทุกครั้ง และทุกครั้งจะสร้างเศรษฐีหน้าใหม่ในวงการตลาดทุน และแน่นอนว่าการมีเพื่อนร่วมทางอย่างที่ปรึกษาด้านการลงทุนอิสระ คือหนึ่งในหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ทุกคนก้าวผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากไปได้ พร้อมเดินหน้าสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

“ปัจจุบันเรามีผู้แนะนำการลงทุน หรือ FA 3,000 คนทั่วประเทศ โดยปีนี้จะสร้างเพิ่มอีก 1,000 คน จากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน งาน FA ได้รับความสนใจมากขึ้นต่อเนื่อง จากการที่คนมองหาอาชีพเสริม และมองหาแหล่งลงทุนใหม่ๆ เพื่อเพิ่มรายได้”นายกสิณ กล่าว

ทั้งนี้ Finnomena Group มีเป้าหมายสำคัญที่จะช่วยให้ผู้คนมีความมั่นคงทางการเงินตลอดชีวิต ด้วยผู้แนะนำการลงทุนและแพลตฟอร์มการลงทุนขั้นนำระดับสากล ช่วยให้นักลงทุนไทยกว่า 1 ล้านคนได้พบกับผู้แนะนำการลงทุนที่เข้าใจยิ่งขึ้น เปรียบเสมือนเพื่อนร่วมทางที่เดินไปพร้อมกับคุณในทุกจังหวะสำคัญของชีวิต ภายใต้แคมเปญ Better Together – Wealth Together by Finnomena

สำหรับแคมเปญ Better Together คือความตั้งใจที่อยากให้ทุกก้าวของการลงทุน เริ่มต้นจากความเข้าใจและเดินไปพร้อมกัน เพราะการลงทุนไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขหรือกลยุทธ์ แต่คือการจัดการอารมณ์ ความไม่แน่ใจ และช่วงเวลาที่ต้องเลือก ซึ่งการมีผู้แนะนำการลงทุนจะช่วยให้ทุกคนเดินหน้าสู่ความสำเร็จผ่านระบบ Wealth Together บริการที่ให้คุณมี “ผู้แนะนำการลงทุน” จาก Finnomena Funds คอยดูแลแบบใกล้ชิด ตั้งแต่การแนะนำพอร์ตลงทุนในกองกุนรวม หุ้น ตราสารหนี้ ไปจนถึงการปรับกลยุทธ์และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คุณเข้าใกล้เป้าหมายทางการเงินมากขึ้น

“ปัจจุบันเรามีผู้แนะนำการลงทุน หรือ FA 3,000 คนทั่วประเทศ โดยปีนี้จะสร้างเพิ่มอีก 1,000 คน จากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน งาน FA ได้รับความสนใจมากขึ้นต่อเนื่อง จากการที่คนมองหาอาชีพเสริม และมองหาแหล่งลงทุนใหม่ๆ เพื่อเพิ่มรายได้”นายกสิณ กล่าว