HoonSmart.com>> บล.กสิกรไทยให้แนวรับ 1,075 และ 1,055 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,095 และ 1,115 จุด จากปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาร่วงหนักตามปัจจัยการเมืองในประเทศ จับตา “ถ้อยแถลงประธานเฟดประเด็นภาษีสหรัฐฯ-การเจรจาระหว่างไทย-สหรัฐฯ ,สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง-การเมืองในประเทศ-ฟันด์โฟลว์” ส่วนค่าเงินบาท “ธนาคารกสิกรไทย” มองกรอบเคลื่อนไหว 32.30-33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ
บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยมองหุ้นสัปดาห์ถัดไป (30 มิ.ย.-4 ก.ค.2568) ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,075 และ 1,055 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,095 และ 1,115 จุด ตามลำดับ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ถ้อยแถลงของประธานเฟดและเจ้าหน้าที่เฟด ประเด็นเกี่ยวกับนโยบายภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐฯ สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง สถานการณ์การเมืองในประเทศ รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิตและการบริการ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงานเดือนมิ.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนมิ.ย. ของญี่ปุ่น จีน ยูโรโซน และอังกฤษ ตลอดจนดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมิ.ย. (เบื้องต้น) และดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนพ.ค. ของยูโรโซน
สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยย่อตัวลงในช่วงแรก โดยร่วงลงไปแตะจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปี 3 เดือนที่ 1,053.79 จุด ท่ามกลางความกังวลต่อเนื่องเกี่ยวกับประเด็นความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน หลังมีรายงานข่าวว่าสหรัฐฯ เข้ามามีส่วนร่วมด้วย และอิหร่านขู่จะปิดช่องแคบฮอร์มุซ อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมาตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าอิสราเอลและอิหร่านบรรลุข้อตกลงหยุดยิงซึ่งช่วยคลายความกังวลบางส่วนต่อสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง ประกอบกับมีแรงหนุนเพิ่มเติมช่วงกลางสัปดาห์จากการปรับประมาณการจีดีพีไทยปีนี้ของกนง. ไปที่ 2.3% จากคาดการณ์เดิมที่ 2.0%
ดัชนีหุ้นไทยย่อตัวลงในเวลาต่อมา และร่วงลงแรงในช่วงท้ายสัปดาห์ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดแรงเทขายทำกำไรหุ้นทุกกลุ่ม ทั้งนี้หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ปรับตัวลงค่อนข้างแรงในสัปดาห์นี้ตามแรงขายหุ้นบริษัทผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตรายใหญ่แห่งหนึ่งจากประเด็นเฉพาะตัว
ในวันศุกร์ที่ 27 มิ.ย. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,082.42 จุด เพิ่มขึ้น 1.39% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 45,745.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.84% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.67% มาปิดที่ระดับ 227.66 จุด
ส่วนค่าเงินบาท สัปดาห์ระหว่างวันที่ 30 มิ.ย.-4 ก.ค. 2568 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 32.30-33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ในวันศุกร์ที่ 27 มิ.ย. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 32.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (20 มิ.ย.)
ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ รายงานเศรษฐกิจและการเงินเดือนพ.ค. ของไทย ปัจจัยการเมืองในประเทศ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ และทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 23-27 มิ.ย. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 3,441 ล้านบาท แต่ขายสุทธิพันธบัตรไทยต่อเนื่องอีก 5,789 ล้านบาท
เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 1 เดือนช่วงต้นสัปดาห์ที่ 33.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่แข็งค่าขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดมากขึ้นระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกแข็งค่าได้อีกครั้งช่วงกลางสัปดาห์สอดคล้องกับทิศทางเงินหยวน สกุลเงินเอเชียอื่นๆ และสินทรัพย์เสี่ยงรับข่าวอิสราเอล-อิหร่านบรรลุข้อตกลงหยุดยิง
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังอ่อนค่าลงตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังจากที่เจ้าหน้าที่เฟดประเมินถึงความเป็นไปได้ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย (โดยเฉพาะหากผลของ Tariffs ยังไม่ได้ทำให้เงินเฟ้อของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น) ประกอบกับปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงกล่าวในเชิงกดดันประธานเฟดและเตรียมที่จะเริ่มสรรหาประธานเฟดคนใหม่ในเดือนก.ย. หรือต.ค. นี้เพื่อมาแทนนายเจอโรม พาวเวลที่จะหมดวาระในปีหน้า
อนึ่ง ผลการประชุมกนง. ที่มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ตามเดิม พร้อมกับปรับทบทวนประมาณการเศรษฐกิจไทยไปที่ 2.3% นั้น ยังไม่มีผลมากนักต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาทในระหว่างสัปดาห์ ขณะที่ เงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงอีกครั้งในช่วงท้ายสัปดาห์ตามการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก แรงขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทย ประกอบกับตลาดรอติดตามปัจจัยการเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด
