บล.เอเซีย พลัส มองการเมืองกดหุ้นเสี่ยงสู่แนวรับ 1,020 จุด

HoonSmart.com>>บล.เอเซียพลัส ชี้นายกฯ เดินหน้าต่อเพื่อความมั่นคงประเทศ มองฝ่ายค้านอาจใช้การพิจารณางบประมาณเป็นเครื่องมือโจมตีรัฐบาล อาจยื่นอภิปรายไม่ไววางใจ เสี่ยงคว่ำงบประมาณปี 69 หรือกรณีพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวเพิ่ม อาจต้องยุบสภา กระทบหุ้นไทย ดัชนีเสี่ยงลงต่ำ สู่แนวรับ 1,020 จุด ประเมิน 4 ทางออกการเมืองไทย

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ประเมินกรณีนายกรัฐมนตรี ยืนยันเดินหน้าไปต่อ เพื่อความมั่นคงของประเทศ สู้กับภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาเรียกร้องความร่วมมือจากทุกฝ่าย เน้นการสื่อสารระหว่างประเทศผ่านช่องทางการมากขึ้น ผลที่ตามมาฝ่ายค้านอาจใช้การพิจารณางบประมาณเป็นเครื่องมือในการโจมตีรัฐบาล และอาจมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจแฝงในกระบวนการพิจารณางบประมาณและที่สำคัญเสี่ยงต่อการคว่ำงบประมาณปี 2569 โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวเพิ่มและนี้อาจนำไปสู่การยุบสภา

“มองผลกระทบต่อ SET INDEX เหลือ Downside โซนซื้อราว 1,055-1,060 จุดและคงเสี่ยงที่ Lower Low สู่แนวรับ 1,020 จุด”บล.เอเซีย พลัส ระบุ

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นภาคบ่ายคาดดัชนีวิ่งในกรอบ 1,072-1,086 จุด หากหลุดแนวรับ 1,072 จุด อาจลงไปทดสอบแนวรับ Low เม.ย.ที่ผ่านมา ณ 1,055 จุด

บล.เอเซีย พลัส มอง SET INDEX ก่อน-หลัง ความไม่แน่นอนทางการเมืองมักผันผวนช่วงสั้น แต่ระยะถัดไปมักปรับตัวขึ้นได้ดี แต่อย่างไรก็ตามภาวะการเมืองในปัจจุบันคล้ายคลึงกับความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต ณ ปี 2006 (ยุบสภา) และ2013 (ยุบสภา) ที่ 1 เดือนก่อนเกิดเหตุการณ์ SET INDEX ปรับตัวลงราว -1.5% ถึง -6%

การเมืองไทย ยังครุมเครือไม่มีทางออกที่แน่ชัดในช่วงนี้ ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ดังคลิปเสียงที่เผยแพร่ออกมาผ่านสื่อต่างๆวานนี้ส่งผลให้เกิดความสั่นคลอนของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ต้องหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันสามารถแก้ไขและเรียกความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยได้ ผ่าน 4 กรณี โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นแนวทางที่เบาที่สุด เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยอาจมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีบางตำแหน่งเพื่อให้พรรคร่วมพอใจ คาดใช้เวลาราว 7–14 วัน หากมีความเห็น
ร่วมกันเร็ว

2. การเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี หากพรรคร่วมถอนตัวหรือเสียงในสภาไม่พอ อาจมีการเสนอชื่อบุคคลใหม่เป็นนายกฯ ซึ่งต้องผ่านการลงมติในสภาผู้แทนราษฎร โดยผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจะต้องได้เสียง ตั้งแต่ 248
เสียงขึ้นไป(มากกว่ากึ่งหนึ่ง) คาดใช้เวลาราว 30–45วัน

3. การยุบสภา หากความขัดแย้งดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขได้ อาจนำไปสู่การยุบสภาซึ่งจะต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45–60 วัน เปิดโอกาสให้ประชาชนตัดสินใจใหม่ผ่านการเลือกตั้ง โดยรวมกระบวนการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ใช้เวลาประมาณ 75–105 วัน

4. การรัฐประหาร มักเกิดขึ้นเมื่อการเมืองถึงทางตัน มักตามมาด้วยการตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจหรือคณะรักษาความสงบ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงน่าจะสร้างแรงต้านจากฝั่งประชาชนและนานาชาติสูงซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นระหว่างประเทศ

หากการเมืองในประเทศเกิด OVERHANG และยังไม่มีแนวทางที่แก้ไขชัดเจน คาดทำให้งบประมาณปี 69 ที่ผ่านวาระ 1 ไปแล้วติดขัดและไม่สามารถโหวตพิจารณาวาระ 2-3 ได้ ซึ่งทำให้เม็ดเงินที่จะออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไปขัดสน เฉกเช่นเดียวกับรัฐบาลยุคเศรษฐาในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งจะกดดันให้ GDP GROWTH ในปี68-69 อาจต่ำกว่าประมาณการที่หลายสำนักเศรษฐกิจคาดการณ์ไว