ต่างชาติขอปลดล็อกเพดานถือหุ้น สนใจกลุ่มธนาคาร-ฮอสพิทอลลิตี้

HoonSmart.com>>ตลท.เผย MSCI สะท้อนมุมมองนักลงทุนต่างชาติต้องการให้ไทยปลดล็อคเพดานการถือครองหุ้น สนลงทุนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล โรงแรม และบริการ หลัง MSCI คัด 3 หุ้นไทยออก ติดเกณฑ์ลงทุน ต้องตัดขายหุ้นออกเพื่อปรับพอร์ต “อัสสเดช”รับขอเวลาศึกษาประเทศเกิดใหม่ก่อนทบทวน

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จากกรณีที่ MSCI ดึงหุ้นไทยออกจากลิส 3 บริษัท ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศเกิดการขายหุ้นไทยมากขึ้นเพื่อปรับพอร์ต หรือ Rebalance โดยเดือนพ.ค.ขายสุทธิ 16,182 ล้านบาท จากเดือน เม.ย.ขายสุทธิ 14,588 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นมาเฉลี่ยวันละ 43,327 ล้านบาท จากเดือนเม.ย.ที่เฉลี่ยวันละ 39,410 ล้านบาท

ทั้งนี้ ตลท.ได้ทำการหารือกับ MSCI เพื่อหาแนวทางเพิ่มหุ้นไทยเข้าไปอยู่ในลิสให้มากขึ้น ทาง MSCI อยากให้ไทยเพิ่มเพดานการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเป็นการเก็บ feed back จากนักลงทุนทั่วโลก จากปัจจุบันที่จำกัดสัดส่วนไว้แม้จะมี NVDR แต่ต่างชาติต้องการมีสิทธิออกเสียงในการบริหาร โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคาร กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจบริการ(Hospitality)

“ที่เขาบอกชัดเจนจากการรับฟังนักลงทุนต่างประเทศ เรื่อง foreign shareholder limit เป็นเรื่องที่กดดันเงินลงทุนเขาอยู่ แม้จะมี NVDR แต่เขาก็ไม่ชอบเท่าไหร่ เขาอยากได้อำนาจในการตัดสินใจได้จริง เขาอยากให้เปิดเต็มที่ เมื่อมีการจำกัดสัดส่วนการถือหุ้นไว้ สภาพคล่องในส่วนของนักลงทุนต่างชาติหายไปโดยปริยาย ซึ่งเรากำลังศึกษาอยู่ว่าประเทศที่อยู่ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ มีที่ไหนให้ต่างชาติเข้ามาถือได้เท่าไหร่”นายอัสสเดช กล่าว

ปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนไทยมีการจำกัดเปอร์เซ็นต์การถือครองของนักลงทุนต่างชาติไว้ที่ 25%-49% ถ้าต้องการถือมากกว่านี้ต้องลงทุนผ่าน NVDR (Non-Voting Depository Receipt) ซึ่งจะไม่ได้สิทธิโหวตลงคะแนนเสียง แต่ได้สิทธิรับเงินปันผล สิทธิ์วอร์แรนท์

นายอัสสเดช กล่าวว่า ในการพิจารณาเพิ่มหุ้นเข้าไปในลิส ของ MSCI จะคำนึงถึงขนาดของบริษัท สภาพคล่องของหุ้น และกลไกตลาดหุ้นไทย เมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่ที่กำลังพัฒนาด้วยกัน ต้องอยู่ในเกณฑ์เดียวกัน เช่น ตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้วให้ทำการช็อตเซลหุ้นได้ทุกตัว แต่ตลาดเกิดใหม่ให้ได้บางตัว ซึ่งไทยก็ยังเกาะกลุ่มอยู่กับตลาดที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ประกอบการคัดเลือกหุ้นเข้าไปอยู่ในลิส

การเพิ่มสภาพคล่อง

ในการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดหุ้น จะมีการลดบอร์ดล็อตเหลือขั้นต่ำ 500 บาท กรณีหลักทรัพย์ที่มีราคาปิดตั้งแต่ 50 บาทขึ้นไปต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 6 เดือน กำหนดให้ 1 บอร์ด ล็อต เท่ากับ 10 หุ้น เป็นเงิน 500 บาท  ตามสถิติที่นักลงทุนรายย่อยมีการซื้อขายต่อครั้ง เพื่อให้นลท.รายย่อยเข้าถึงหุ้นได้หลากหลาย และหาเครื่องมือให้นักลงทุนมืออาชีพสามารถซื้อ-ขาย หุ้นข้ามตลาดได้ การออกสินค้าใหม่ที่ตอบสนองนักลงทุนรุ่นใหม่ การเดินสายพบปะนักลงทุนต่างชาติ ให้ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ และข้อมูลบริษัทจดทะเบียนมากขึ้น
ล่าสุด มีการเดินสายไปพบนักลงทุนสถาบันที่สิงคโปร์ 20 แห่ง ซึ่งหลายบริษัทไม่ทราบว่าไทยมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ได้รับความสนใจอย่างมาก เพียงรอให้เกิดการลงทุน ที่ทำให้เห็นภาพชัดและมั่นใจเชื่อว่าจะดึงเม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งกลุ่มนี้จะมีการลงทุนระยะยาว

ปัจจุบัน ด้าน valuation ของตลาดหุ้นไทยต่ำแล้ว จะเห็นว่าช่วงหลังราคาหุ้นที่แกว่งตัวผันผวนแคบลง มีการปันผลสูงเมื่อเทียบตลาดเอเชีย ต่างชาติมองว่าตลาดหุ้นไทยเป็นแหล่งหลบภัย เข้าหุ้นบ้าง ตลาดพันธบัตรบ้าง การปรับตัวลดลงของหุ้นไทยจะเป็นไปอย่างจำกัดมากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้จำกัดการทำช็อตเซลให้อยู่ในกลุ่ม SET100

นอกจากนี้ ในวันที่ 26 มิ.ย.จะมีการเปิดโครงการจั๊มพลัส 26 มิ.ย.นี้ ตั้งเป้าบริษัทจดทะเบียนเข้าร่วม 50-100 บริษัท โดยทางตลท.จะสนับสนุนเงินทุนบางส่วน เช่น การว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน การนำเสนอข้อมูลให้นักลงทุนต่างชาติ และสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ จะเข้ามาทำการวิเคราะห์ให้ โดยบริษัทจดทะเบียนต้องทำแผนเพิ่มมูลค่ากิจการ 3 ปี เช่น ลงทุนเพิ่ม ลดต้นทุน เพิ่มกำลังการผลิต แล้วแต่จะทำอะไร เพื่อให้ ROA และ ROE เพิ่มขึ้น

ผลกระทบจากภาษีการค้า  กรณีที่ไทยต้องถูกเก็บภาษีสูงสุดที่ 36% จะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีไทย เติบโต 1% เท่านั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินผลกระทบด้านภาษีการค้าได้ ต้องรอความชัดเจนของผลการเจรจากับสหรัฐฯ หลังจากนั้นจึงจะสามารถประเมินได้ว่า ธุรกิจไหนจะกระทบอย่างไร

สำหรับเรื่อง ฟรีโฟลท ที่ยังแก้ไม่ได้เหลือประมาณครึ่งหนึ่ง จากช่วงต้นปีที่มี 18 บริษัท หนึ่งในนั้นมีธนาคารรวมอยู่ด้วย ซึ่งต้องหารือกับทางธนาคารแห่งประเทศไทยกันต่อไปว่าจะทำอย่างไร เพราะเรื่องเกณฑ์ผ่อนผันกันยาก