ชนะความผันผวนด้วย “หุ้นคุณภาพ” กสิกรไทย แนะซื้อ KDLTF-KEQRMF

แม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้วว่า “ความผันผวน” กับ ตลาดหุ้น เป็นของคู่กัน แต่สำหรับตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ ความผันผวนออกจะรุนแรงไปมาก ทำเอานักลงทุนขวัญผวาไปตามๆ กัน และที่สำคัญความผันผวนนี้จะรุนแรงมากขึ้นอีกในปี 2562 เพราะนับจากวันนี้ไปมี “ความไม่แน่นอน” รออยู่

น.ส.ธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย ประเมินปัจจัยเสี่ยงใหญ่ๆ สำหรับเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2562 ว่า ที่เห็นได้ชัด คือ เศรษฐกิจโลกที่จะเติบโตในอัตราที่ลดลง ซึ่งเศรษฐกิจไทยก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันด้วย “แรงส่ง” ที่แผ่วลง ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากการท่องเที่ยวชะลอตัวลงจากการลดลงของนักท่องเที่ยวชาวจีน การส่งออกที่เริ่มได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและค่าเงิน รวมถึงรายได้ภาคเกษตรยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัว

“เศรษฐกิจโลกในปีหน้านอกจากจะมีการคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ลดลงจากปีนี้ นำโดยประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทั้ง สหรัฐฯ ยุโรป และจีน ยังมีปัจจัยเสี่ยงสูงจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ และสภาพคล่องที่ลดลงอีกด้วย”

ขณะที่อัตราดอกเบี้ยในประเทศคาดว่าจะเริ่มมีการทยอยปรับขึ้นในปีหน้า โดยทาง บลจ. กสิกรไทย ประเมินว่า ในปี 2562 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับดอกเบี้ยขึ้นอีก 2 ครั้ง ซึ่งทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอย่างน้อย 2 ครั้ง เพื่อรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและสหรัฐฯ ไม่ให้มากเกินไป

“สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ในปีนี้มีเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ คืด การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ สำหรับประเทศไทยปีนี้เงินทุนต่างชาติไหลออกไปจากตลาดหุ้นกว่า 2.8 แสนล้านบาท ทำให้สัดส่วนนักลงทุนต่างชาติเหลือ 28% ต่ำที่สุดในรอบ 7 ปี”

น.ส.ธิดาศิริ กล่าวอีกว่า ค่าเงินดอลลาร์ในปีหน้าคาดว่ายังคงอยู่ในทิศทางแข็งค่า โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับค่าเงินหยวนและค่าเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่ ถึงแม้อัตราการแข็งค่าคงไม่มากเท่ากับปีนี้

“เงินลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาเมื่อค่าเงินดอลลาร์กลับทิศอย่างชัดเจน แต่ตอนนี้ยังมองไม่เห็นว่าจะ reverse จากสาเหตุอะไรในระยะสั้นนี้ คาดว่ากระแสเงินยังไม่ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ หรือถ้ากลับมาน่าจะเข้าตลาดใหญ่ๆ เช่น จีน หรือ เอเชียเหนือก่อน”

อีกปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่จะมีผลกระทบกับตลาดเงินตลาดทุนอย่างเห็นได้ชัด คือในปี 2562 จะเป็นปีแรกที่ระดับสภาพคล่องจะลดลงจากที่อยู่ในระดับสูงมากว่า 10 ปี จากการเริ่มถอนมาตรการ QE ของธนาคารกลางขนาดใหญ่เกือบทั่วโลก

ขณะที่ “ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ” และคาดเดาได้ยาก คือ สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่ง น.ส.ธิดาศิริ กล่าวว่า แม้ว่าผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ที่ตลาดมองว่ามีการถ่วงดุลอำนาจเพิ่มขึ้นระหว่างสภาล่างและสภาบน ของทั้งสองพรรคการเมือง แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงทั้งมาตรการทางภาษีและการตอบโต้ของทั้งสองประเทศ

สำหรับภาพของตลาดไทยภายหลังจากการเลือกตั้ง ทาง บลจ. มองว่าความมีเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นสิ่งสำคัญในมุมมองของนักลงทุน เนื่องจากจะมีความต่อเนื่องของนโยบาย อย่างไรก็ตาม เรามองว่ารัฐบาลใหม่ที่มาจะยังคงสนับสนุนนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐเนื่องจากมีความจำเป็นต่อประเทศไทยในการปฏิรูปโครงสร้างและการพัฒนาเศรษฐกิจ และลดการพึ่งพิงจากปัจจัยภายนอกประเทศซึ่งยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง โดยเฉพาะจาก trade war

เจอสถานการณ์แบบนี้ หลายคนอาจจะหวั่นๆ ที่เข้าไปลงทุน โดยเฉพาะในช่วงส่งท้ายปลายปีที่จะต้องตัดสินใจซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) สำหรับการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในปี 2561

น.ส.ธิดาศิริ แนะนำว่า “แม้ในระยะสั้นจะมีความผันผวนอยู่สูง เพราะขาดปัจจัยบวกและมีความไม่แน่นอนอยู่สูง แต่ตลาดหุ้นไทยยังคงน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว เช่น LTF และ RMF” เพียงแต่ “ต้องเลือก” มากขึ้น และให้ความสำคัญกับ “คุณภาพ” มากขึ้น

“แม้ว่าการได้ผลตอบแทนที่สูงเหมือนในอดีตที่ผ่านมาเป็นไปได้ยากขึ้น แต่ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจกว่าสินทรัพย์อื่นโดยเปรียบเทียบ เพียงแต่ความผันผวนจะสูงขึ้น จึงต้องลงทุนด้วยความระมัดระวัง จากที่ผ่านมาตลาดอยู่ในรูปแบบขาขึ้นมาค่อนข้างยาวนานหุ้นในตลาดส่วนใหญ่ก็จะให้ผลตอบแทนที่ดีไปตามสภาพตลาด แต่ตอนนี้ก็ต้องกลับมาพิจารณาที่คุณภาพในเรื่องความสามารถในการทำกำไรที่ยั่งยืนให้มากขึ้น เพราะฉะนั้นกลยุทธ์การลงทุนหลังจากนี้จึงเน้นการคัดเลือกหุ้นรายตัวและมีการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวน”

เป้าหมาย SET Index ปลายปี 2562 ที่ 1,800 – 1,850 จุด บนสมมติฐานการคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ปี 2562 ที่ 8% โดยมองว่าระดับดัชนีปัจจุบันที่ 1600 จุด เป็นระดับที่น่าสนใจเข้าลงทุนสำหรับระยะกลางถึงยาว เนื่องจากสะท้อน Valuation ที่ Fwd P/E ปี 2562 ที่ 13.8x ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง รวมถึง ระดับ Dividend Yield ที่ ประมาณ 3.25% น่าจะช่วย support ตลาดได้

กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ

1. กลุ่มธนาคาร เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างชัดเจน รวมถึง valuation อยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก
2. กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐและเอกชนรวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ คาดว่ารัฐบาลใหม่ยังคงสานต่อนโยบายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเนื่องจากพึ่งพิงกับปัจจัยต่างประเทศค่อนข้างน้อย
3. กลุ่มหุ้นสาธารณูปโภคที่มีรายได้และกระแสเงินสดสม่ำเสมอ

หากเป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวม โดยเฉพาะกองทุน LTF และ RMF บลจ.กสิกรไทย ในช่วงนี้ทาง บลจ. กสิกรไทยแนะนำลงทุนใน กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล (KDLTF) และกองทุนเปิดเค หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (KEQRMF) ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ ปัจจัยพื้นฐานดี และกระจายหลากหลายอุตสาหกรรม

KDLTF
– การลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายเน้นหุ้นขนาดใหญ่ ปัจจัยพื้นฐานดี กระจายหลากหลายอุตสาหกรรม จึงเป็นทางเลือกที่ดีในแง่ของการช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ต
– กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล (KDLTF) ที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอทุกปีตั้งแต่จัดตั้งกองทุ น (19 ต.ค. 2547) จนถึงปัจจุบัน รวมเป็นระยะเวลา 14 ปี โดยจ่ายไปแล้วทั้งหมด 22 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 9.83 บาทต่อหน่วย หรือสามารถคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลเฉลี่ย (Dividend Yield) ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 4.45% ต่อปี

KEQRMF
– กองทุนเปิดเค หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (KEQRMF) มีนโยบายคัดเลือกลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ปัจจัยพื้นฐานดี กระจายหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อสอดรับการเปลี่ยนแปลงและสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด โดยกองทุนนี้ไม่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล