HoonSmart.com>>รมว.คลังหารือผู้ว่าธปท.จับตาใกล้ชิดผลกระทบภาษีทรัมป์ พร้อมดูแลสภาพคล่องผู้ส่งออก ยันจูงมือปตท. นำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ 1 ล้านตันเศษใน 5 ปี มูลค่าราว 600 ล้านเหรียญสหรัฐเริ่มต้นปี 69 มองไกลราคาถูกพร้อมส่งขายภูมิภาค ลั่นนำเข้าข้าวโพดไม่กระทบเกษตรกร ด้านเศรษฐจีนไตรมาส 1 โตเกินคาดที่ 5.4% ส่งสัญญาณพร้อมเจรจาสหรัฐ หนุนหุ้นไทยบวก 10.24 จุด หรือ+0.91% เงินบาทแข็ง 33.24 บาท/ดอลลาร์

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง แถลงผลประชุมร่วมกับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่ประเทศไทย (ธปท.) ในการหารือและรับฟังข้อมูลการเจรจากับสหรัฐฯ เกี่ยวกับมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย ในช่วงบ่ายของวันนี้ (16 เม.ย.2568) โดยมี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมหารือด้วย หลังจากส่งผลกระทบต่อตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร และค่าเงิน ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่คาดเดาได้ลำบาก
นายพิชัย กล่าวว่า วัตถุประสงค์ในการพูดคุยว่าจะมีกรณีใดเกิดขึ้นกับประเทศไทยบ้าง เนื่องจากจะกระทบกับภาคธุรกิจและภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะผู้ส่งออก ดังนั้นจะต้องหามาตรการที่เหมาะสม และวางแนวทางการรับมือในกรณีร้ายแรง (Worst case) เพราะอาจทำให้การส่งออกชะลอตัวลง และผู้ส่งออกมีปัญหาเงินทุนหมุนเวียน และหนี้ที่ครบกำหนดชำระ รวมถึงการนำเข้าต่าง ๆ ซึ่งมีปัญหาตรงกัน คือเรื่องสภาพคล่อง แต่วันนี้ยังไม่ได้ข้อยุติว่าจะดำเนินมาตรการใด และคงต้องติดตามต่อไป
“เราจะทำงานใกล้ชิดมากขึ้น แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน และจะเจอกันบ่อยขึ้น เพื่อดูว่าเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป มีอะไรบ้างกระทบต่อตลาดเงิน ตลาดทุน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ต้องดู เพื่อหามาตรการชัดเจน กำหนดร่วมกันที่จะแก้ไข ขณะเดียวกัน ธปท.จะติดตามสถานการณ์ต่อไปด้วย ทั้งเรื่องดอกเบี้ย อัตราการแลกเปลี่ยน และปัญหาเกี่ยวกับสภาพคล่อง เพื่อนำข้อมูลมาประกอบในการเสนอมาตรการต่าง ๆ ทั้งนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการ กนง.ในวันที่ 30 เม.ย.นี้”นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวว่า ความสนใจของสหรัฐฯ อยู่ที่เรื่องมาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี ที่ไม่เอื้อต่อการนำเข้าและส่งออก ซึ่งเป็นเรื่องกว้าง ภาษีศุลกากรเป็นเรื่องเล็ก เพราะเป็นไปตามกลไก แต่ละประเทศต้องปรับไปตามนั้น และต้องมาดูแลแก้ไข ซึ่งจะมีการเชิญอีกหลายหน่วยงานมาพูดคุยเพิ่มเติม
ในช่วงเช้าวันนี้ นายพิชัยเป็นประธานการประชุมแนวทางดำเนินการของไทย ต่อกรณีนโยบายการค้าของสหรัฐ ว่า จากการหารือกับบริษัท ปตท. (PTT) ในเบื้องต้นถึงแผนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ เพิ่มเติมอีก 1 ล้านตันเศษภายในระยะเวลา 5 ปี มูลค่าราว 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนที่ใกล้จะหมดสัญญาซื้อขายจากแหล่งอื่น ๆ ซึ่งจะพิจารณานำเข้าจากสหรัฐฯ แทน คาดว่าจะเริ่มจัดส่งได้ในปี 2569
ปัจจุบันไทยมีการทำสัญญาซื้อขายก๊าซ LNG จากสหรัฐฯปีละ 1 ล้านตัน มูลค่าปีละ 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ระยะเวลา 15 ปี ซึ่งมีการนำเข้าค่อนข้างมาก เฉลี่ยปีละกว่า 10 ล้านตันจัดหาจากหลายแหล่ง เช่น ตะวันออกกลาง โดยในระยะยาวประเทศไทยยังมีความต้องการใช้และต้องการนำเข้าเพิ่มอีก ดังนั้น เป็นโอกาสดีที่จะมาพิจารณาการนำเข้าจากสหรัฐเพิ่มเติม ซึ่งเชื่อว่า ปตท.จะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดหาก๊าซ LNG ในระยะยาวของประเทศไทยได้
” สหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตหลักของโลก หากนำเข้ามาจะมีข้อดีในเรื่องต้นทุนราคา ซึ่งสามารถสู้ที่อื่นได้ ในอนาคตก็อาจจะนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายต่อให้กับประเทศในภูมิภาคใกล้เคียงได้ เนื่องจาก ปตท. มีพื้นที่จัดเก็บจำนวนมาก และพร้อมนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายต่อได้ เชื่อมั่นว่าก๊าซธรรมชาติจะยังเป็นเชื้อเพลิงหลักของโลกต่อไปอีก 30 ปีข้างหน้า ดังนั้นจึงมองว่าไทยจะสามารถดำเนินการนำเข้าก๊าซ LNG จากสหรัฐฯ เพิ่มเติมได้”
นอกจากนี้จะหารือถึงแผนการที่ไทยจะนำเข้าก๊าซอีเทนจากสหรัฐฯ 4 แสนตัน มูลค่า 100 ล้านเหรียญ ในระยะเวลา 4 ปี ถือเป็นการซื้อขายระยะยาว ถือเป็นความจำเป็นเพราะเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตปิโตรเคมี และถือเป็นต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่าการใช้น้ำมันดิบ แม้จะสามารถผลิตได้ในอ่าวไทย แต่ก็ไม่ค่อยเพียงพอแล้ว
ส่วนการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ จะไม่ให้กระทบเกษตรกรไทย ปัจจุบันมีการนำเข้าปีละ 4 ล้านกว่าตัน ขณะที่สหรัฐฯ ถือว่าเป็นผู้ผลิตหลัก มีต้นทุนที่ถูกกว่าการนำเข้าจากแหล่งอื่น เป้าหมายคือการนำเข้ามาแปรรูปเพื่อส่งออก เช่น อาหารสัตว์ ที่ประเทศไทยมีส่วนแบ่งตลาดที่ดี ส่วนเรื่องการนำเข้าสุกรนั้น ขณะนี้คงจะไม่ดำเนินการ เพราะไทยยังไม่ขาดแคลน หรือยังไม่มีความจำเป็นต้องนำเข้าสุกร
ด้านตลาดหุ้นไทยเปิดทำการวันอังคารที่ 16 เม.ย.2568 หลังจากหยุดวันจันทร์ที่ผ่านมา และคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์มีมติเปิดให้หุ้นใน SET 100 นำมาชอร์ตเซลได้ ไม่ส่งผลกระทบต่อภาวะตลาด ดัชนีปิดที่ 1,138.90 จุด เพิ่มขึ้น 10.24 จุด หรือ +0.91% มูลค่าซื้อขาย 41,200.11 ล้านบาท และค่าเงินบาทแข็งค่าสุดในภูมิภาคปิดที่ 33.24 บาท/ดอลลาร์
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรง จากในภาคเช้าเคลื่อนไหวบวกลบแคบๆ เริ่มมีแรงซื้อเข้ามามากในช่วงบ่ายหนุนให้ตลาดสดใส โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 655.59 ล้านบาท สถาบันซื้อด้วย 502.07 ล้านบาท สวนทางนักลงทุนไทยขาย 489.24 ล้านบาท ตลาดเด้งขึ้นหลังมีกระแสข่าวเรื่องจีนพร้อมเจรจากับสหรัฐฯ ภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง แม้มีแรงกดดัน SCB-KTB ขึ้น XD วันแรก และหุ้น DELTA ร่วง แต่หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจจีนไตรมาสแรกปีนี้ เติบโต 5.4%มากกว่าที่คาดการณ์ เช่น SCC ราคาปิดที่ 151 บาท เพิ่มขึ้น 7.50 บาทหรือ 5.23% 662.20 ล้านบาท PTTGC ปิดที่ 17.10 บาท บวก 0.50 บาทหรือ 3.01%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เศรษฐกิจจีนเติบโตดีกว่าคาดการณ์ที่ 5.4% เกิดจากการส่งออกขยายตัวแข็งแกร่ง การใช้จ่ายในประเทศขยายตัวดี และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเร่งตัวขึ้นตามทิศทางการส่งออก อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่เหลือของปี 2568 ยังเผชิญความไม่แน่นอนสูงจาก 4 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การส่งออกจีนจะเริ่มมีทิศทางชะลอลงจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ, ความไม่แน่นอนจากการเจรจาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ, ความเสี่ยงเรื่องเงินฝืดสูงขึ้น และ ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจจีน คาดว่าปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงจากปีก่อนที่ 3.6%
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นช่วงบ่ายปรับตัวขึ้นได้กว่า 10 จุดหลังมีข่าวจีนพร้อมเจรจากับสหรัฐฯ แต่มีเงื่อนไขบางอย่าง ต้องรอดูว่าจะเจรจากันได้หรือไม่

