SCC ยก 4 กลยุทธ์ หนุนกำไรโต LSP พร้อมผลิต ลุ้นจีนหยุดลงทุนใหม่ปี70-71

HoonSmart.com>>ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) วาง 4 กลยุทธ์ อาศัยความได้เปรียบฐานผลิตทั่วอาเซียน สู้สงครามการค้า แข่งขันสินค้าจีนทะลัก พัฒนา”สินค้าคุณภาพ ราคาจับต้องได้” เดินหน้าลดต้นทุน ปีนี้ตั้งงบลงทุน 3 หมื่นล้านบาท ยอดขายโต 3-5% ทุกธุรกิจสดใส ปิโตรเคมีพ้นจุดต่ำสุด สเปรดดีขึ้นมาก โรงงาน LSP ที่เวียดนามพร้อมผลิต จับตาจีนหยุดเปิดใหม่ปี 70-71 ไตรมาส 2 ดีกว่าไตรมาส 1 ที่มีกำไร 1,099 ล้านบาท กระแสเงินสดแกร่ง 12,889  ล้านบาท หนุนราคาหุ้นทะยานขึ้น 5.61%

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือเอสซีจี เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2565 มีกำไรสุทธิ 1,099 ล้านบาท กระแสเงินสดแข็งแกร่ง 12,889  ล้านบาท เงินสดคงเหลือ 43,119 ล้านบาท แนวโน้มไตรมาสที่ 2 จะเติบโตต่อเนื่อง ทั้งยอดขายดีขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบลดลงสอดคล้องกับราคาน้ำมัน สเปรดหรือส่วนต่างปิโตรเคมีดีขึ้น รวมทั้งผู้ผลิตปิโตรเคมีจีนได้รับผลกระทบต้นทุนจากการจัดหาวัตถุดิบจากสหรัฐ ส่วนไตรมาสที่ 3 และ 4 ยังมีความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ปัจจุบันยังคงเป้าหมายยอดขายปีนี้เติบโต 3-5% และงบลงทุนที่ 30,000 ล้านบาท จากไตรมาสแรกใช้ไปเพียง 1,600 ล้านบาท

 

“กำไรที่ทำได้จำนวน 1,099 ล้านบาท ลดลงจากที่มีกำไร 2,424.85 ล้านบาทในไตรมาส 1/67 แต่หากไม่รวมลองเซินปิโตรเคมิคอลส์คอมเพล็กซ์ (LSP) ที่ประเทศเวียดนาม SCC จะมีกำไรอยู่ที่ 4,019 ล้านบาท แต่ผลดำเนินงานถือว่าดีขึ้นเมื่อเทียบกับขาดทุน 512 ล้านบาทในไตรมาส 4/67 เป็นผลจากการบริหารจัดการภายในและการปรับปรุงประสิทธิภาพของทุกธุรกิจ รวมถึงความต้องการตามฤดูกาลก่อสร้างเพิ่มขึ้นและงบประมาณภาครัฐที่เบิกจ่ายต่อเนื่อง จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง ประกอบกับบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) และบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง(SCGP) ดีขึ้น โดยรวมมีรายได้จากการขาย 124,392 ล้านบาท ลดลง 5% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากปริมาณขายที่ลดลงของ SCGC โดยเฉพาะโรงงาน LSP ที่เวียดนาม”นายธรรมศักดิ์กล่าว

ส่วนโครงการ LSP  ยังเป็นไปตามแผนทั้งระยะเวลาในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายในการลงทุน โดยบริษัทไม่ได้วางแผนแบบมีพันธมิตร แต่หากมีพาร์ทเนอร์สนใจเข้าลงทุน และสามารถสร้างความแข็งแกร่งให้มากขึ้นได้ก็พร้อมเปิดรับ แต่ยังไม่มีการพูดคุยหรือมีพาร์ทเนอร์ที่สนใจถึงขั้นทำงานร่วมกัน

สำหรับผลกระทบจากสงครามการค้าโลก นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทประเมินสถานการณ์พบว่า ผลกระทบทางตรงต่อ SCC มีเล็กน้อย เนื่องจากมีการส่งออกโดยตรงไปที่สหรัฐเพียง 1% จากยอดขายรวม แต่ยอมรับว่ามีผลกระทบทางอ้อมอย่างมหาศาล เพราะมียอดขายในอาเซียนถึง 80% ยิ่งหากพ้นระยะเวลาเลื่อนจัดเก็บภาษี 90 วัน ผลกระทบอาจรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยจะเห็นชัดในไตรมาส 3 ถ้าสหรัฐเรียกเก็บภาษีในอัตราเดียวกันการประกาศวันที่ 2 เม.ย. จะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกรวมทั้งเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคชะลอตัว  กระทบไทยด้วย จากสินค้าที่ทะลักเข้ามาจากจีน ทำให้การผลิตในประเทศมีแนวโน้มลดลงอีก ทั้งนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจโลกปีนี้เหลือเพียง 2.8%  และไทยลดลงเหลือ 1.8%

ในทางกลับกัน สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ยังมีประเทศที่ได้ประโยชน์ ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการที่สหรัฐระงับการส่งออกแร่หายากจากจีน ทำให้ต้องนำเข้าจากออสเตรเลีย ส่วนการนำเข้าข้าวโพด สินค้าเกษตรจากบราซิล อาร์เจนตินามากขึ้น นอกจากนี้ อินเดีย ญี่ปุ่นแคนาดา คาดว่าจะได้ประโยชน์เช่นกัน ทำให้บางตลาดมีกำลังซื้อมากขึ้น ซึ่งบริษัทมีฐานการผลิตทั่วอาเซียน หน่วยงานขายรอบโลก สามารถปรับตัวกระจายสินค้าไปยังประเทศอื่นที่มีกำลังซื้อได้ โดยต้องปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานของประเทศนั้น ๆ ด้วย

นอกจากนี้ สงครามการค้ายังมีโอกาสที่ซ่อนอยู่ สำหรับบริษัท คือแนวโน้มราคาน้ำมันที่ลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวความต้องการใช้ลดลง ผู้ผลิตปิโตรเคมีในจีนประสบปัญหาการจัดหาวัตถุดิบจากสหรัฐฯ ตลอดจนบางตลาดยังมีกำลังซื้อสูงสำหรับสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง หรือสินค้าที่มีความพิเศษยังเป็นที่ต้องการ อาทิ ปูนคาร์บอนต่ำ ที่ยังสามารถส่งออกไปยังสหรัฐได้ ในหลายประเทศเริ่มมีความต้องการสินค้าที่มีความเป็นกรีนมากขึ้น เรื่องแพคเกจจิ้งที่เป็น Low Carbon และสินค้าคุณภาพ ราคาจับต้องได้   จึงยกระดับการปรับตัวให้เข้มข้นรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ด้วย 4 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่

1.) ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก เพื่อรับมือสินค้าราคาถูกจากประเทศอื่นที่อาจเข้ามาแข่งขัน ด้วยวิธีการลดต้นทุนการผลิต เช่น ควบรวมไลน์การผลิต ปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดขั้นตอนโดยเพิ่มการใช้ Robotic Automation ลดต้นทุนการบริหารจัดการ โดยเพิ่มการใช้ AI ปรับปรุงประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร ลดส่วนสูญเสีย เช่น ปรับลดเงินทุนหมุนเวียน ตลอดห่วงโช่อุปทาน ส่งผลให้สามารถลดหนี้สินสุทธิลงเหลือ 290,504 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2568 และเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจ เพิ่มการใช้พลังงานสะอาด โดยใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์  เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานชีวมวล และพลังงานทางเลือก ในกระบวนการผลิต โดยในไตรมาส 1 ใช้พลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 44% ของเชื้อเพลิงทั้งหมด

2.) ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ ทั้ง สินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) สินค้ากรีน และสินค้าคุณภาพ ราคาจับต้องได้  เช่น  โซลาร์รูฟท็อปจาก 2 แสนบาท  มีการพัฒนาเสนอบริการแพ็กเกจหลากหลาย ราคาไม่ถึง 1 แสนบาท รวมถึงท่อ PVC เกษตร ที่ใช้เพียง 1 ปี แล้วรื้อทิ้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้แบบคุณภาพสูง 10 ปี ช่วยลดต้นทุนให้กับลูกค้าได้  หลังคาเซรามิก เอสซีจี รุ่น Celica Curve ที่คุ้มค่า ทนทาน สีสวยติดทนกว่าด้วยเนื้อเซรามิก กลยุทธ์นี้จะช่วยเพิ่มยอดขายของสินค้า HVA จากปัจจุบันมีสัดส่วน 30%

3.) บุกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง ขยายการส่งออก เช่น ปูนเอสซีจีคาร์บอนต่ำ กระเบื้องคอนกรีตสมาร์ทบอร์ด กระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์อาหาร ไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพและความต้องการ เช่น ประเทศที่ปรับตัวและได้ประโยชน์จากสงครามการค้า โดยใช้เครือข่ายของธุรกิจต่าง ๆ ของเอสซีจีที่มีอยู่ทั่วโลก

4.) สร้างความได้เปรียบโดยส่งออกจากฐานการผลิตที่หลากหลายในภูมิภาคอาเซียน โดยสลับฐานการผลิตและส่งออกจากประเทศที่มีอัตรานำเข้าภาษีสหรัฐต่ำกว่า เช่น บรรจุภัณฑ์ของเอสซีจีที่มีฐานการผลิตและส่งออกจากทั้งไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ส่วนปูนคาร์บอนต่ำ และกระเบื้องเกรซพอร์ซเลน สามารถผลิตและส่งออกได้จากทั้งไทยและเวียดนาม

อย่างไรก็ตาม แม้สงครามการค้ายังมีความไม่แน่นอน และอุปสงค์เคมีภัณฑ์ชะลอตัว แต่ SCGC คาดว่าจะได้รับอานิสงส์บวกจากราคาน้ำมันโลกที่มีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเคมีภัณฑ์ลดลง จึงเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และดำเนินการเชิงรุกได้แก่ 1.) ลดต้นทุนบริหารอย่างต่อเนื่อง 2.) เพิ่มความยืดหยุ่นของ ซัพพลายเชนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมทั้งเตรียมความพร้อมของโครงการ LSP ให้กลับมาเดินเครื่องได้เมื่อสถานการณ์เหมาะสม และ 3.) เร่งพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง พร้อมขยาย ธุรกิจสินค้ากรีน และดิจิทัล โซลูชัน เช่น DRS by Repco NEX

ส่วนปัจจัยในประเทศ ภาพรวมเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าตั้งแต่หลังโควิด 19 แต่ได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยวมาตลอด ซึ่งปัจจุบันท่องเที่ยวชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งจากข่าวจีนเทาที่สร้างความไม่เชื่อมั่น รวมทั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้เครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยอ่อนตัวลง ล่าสุด มูดี้ส์ส่งสัญญาณแนวโน้มเศรษฐกิจไทยไม่ดี สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยเปราะบางมุ่งสู่จุดที่อ่อนแอลงต่อเนื่อง ดังนั้น การปรับตัวเพื่อแก้ปัญหาสงครามการค้าเป็นเรื่องสำคัญ แนะภาครัฐร่วมมือกับเอกชนในการประสานงานร่วมกัน สร้างความร่วมมือเพื่อหาทางออกด้านนโยบายภาษีของสหรัฐ ต้องเร่งคุยปรับตัวให้เร็ว รีบแก้ไข จุดไหนที่รัฐบาลควรเข้าไปเยียวยา เพราะแน่นอนต้องมีผู้ได้รับผลกระทบระยะสั้น

“การตั้งวอร์รูมที่ใช้คนที่เกี่ยวข้องมาตัดสินใจในการทำงานระดับประเทศ เป็นเรื่องจำเป็น โดยเฉพาะเรื่องสงครามการค้าที่เราไปเจรจา เขาต้องการให้มีการนำเข้าจากไหนแล้วเราอยากได้ไหม สร้างมูลค่าเพิ่มได้ไหม อุตสาหกรรมในประเทศต้องปรับตัวอย่างไร รัฐจะได้สนับสนุนได้ถูก ถ้าเราสามารถสรุปได้เร็ว ความเชื่อมั่นจะกลับมาอย่างมาก”

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) กล่าวว่า ธุรกิจปิโตรเคมีสำคัญมาก ต้องติดตามการตอบโต้กันระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากจีนพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐในปริมาณสูง หากจีนถูกขึ้นภาษีสูง จะทำให้ต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในปิโตรเคมีสูงจนไม่สามารถผลิตได้ ขณะที่โพรเพน ยังสามารถนำเข้าจากตะวันออกกลางแทนได้ แต่ปริมาณคงไม่เพียงพอต่อความต้องการของจีน ส่งผลให้ไตรมาส 2 ธุรกิจปิโตรเคมีจะปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมัน-แนฟทาลงเป็นร้อยเหรียญสหรัฐ ทำให้สเปรดปิโตรเคมีดีขึ้นทันทีระดับร้อยเหรียญสหรัฐ แต่ปัญหาคือดีมานด์ในตลาดลดลงอย่างมาก ผู้ผลิตนำไปทำต่อน้อยลง ซึ่งบริษัทได้กระจายเข้าไปในกลุ่มลูกค้าที่ครอบคลุมโดยเฉพาะตลาดที่ได้รับผลกระทบน้อย เช่น ญี่ปุ่น รวมทั้งบริษัทต้นทุนให้ดีขึ้น

ทั้งนี้ เหตุการณ์สงครามการค้า ก็มีข้อดี ทำให้กำลังการผลิตใหม่ๆ จะเข้ามาน้อยลง โดยเฉพาะจากจีนที่ใช้วัตถุดิบจากสหรัฐเจอภาษีสูงมาก จนไม่คุ้มสำหรับการลงทุน คาดว่ากำลังการผลิตที่จะเข้ามาใหม่ในปี 2570-2571 หากไม่เลื่อนออกไป ก็จะเลิกลงทุน  ส่วนโครงการของแคนดานาได้เลื่อนออกไปแล้ว เมื่อมีข่าวเรื่องจีนถูกขึ้นภาษีสูงมาก ทำให้สเปรดดีขึ้นมาก เช่น แนฟทาเคยอยู่ที่ 320-330 เหรียญ กระโดดขึ้นไปถึง 430 เหรียญ ตอนนี้ลงมาอยู่ที่ 370-380 เหรียญ ดีกว่าที่ผ่านมา 50 เหรียญ ส่วนความต้องการที่ลดลงจากสงครามการค้า จากเดิมคาดว่าการฟื้นตัวจะเกิดขึ้นในปี 2569 ก็อาจจะต้องลากยาวออกไปอีก ทั้งนี้จะต้องติดตามว่ารัฐบาลจีนจะยกเว้นภาษีให้กับผู้ผลิตปิโตรเคมีหรือไม่

“สเปรดขนาดนี้ โรงงาน LSP ที่เวียดนาม ก็พร้อมกลับมาเดินเครื่องผลิตได้แล้ว ไม่ต้องรอให้ถึง 400 เหรียญ เพราะเราได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลง แต่การกลับมาผลิตอีกครั้ง จะต้องคิดให้รอบรอบและจะต้องรอความชัดเจน เพราะการเปิดเดินเครื่องใหม่และหากต้องกลับมาปิดอีกครั้งจะมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 10 ล้านเหรียญสหรัฐ  และจะต้องติดตามว่าจีนมีนโยบายยกเว้นภาษีให้กับผู้ผลิตปิโตรฯหรือไม่ เพื่อคาดการณ์กำลังใหม่ที่จะเข้ามาในตลาด ส่วนเรื่องการเสนอขายหุ้น IPO บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ขณะนี้ยังไม่ได้พิจารณา”นายศักดิ์ชัยกล่าว

ทางด้านราคาหุ้น SCC ปรับตัวขึ้นแรง ปิดที่ระดับสูงสุดของวัน 160 บาท เพิ่มขึ้น 8.50 บาทหรือ +5.61%  ขานรับกำไรไตรมาสแรกปีนี้ที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์และตลาดประมาณการ