บลจ.ยูโอบีตั้งเป้า AUM ปี 67 โต 10% ปลื้มลูกค้าสถาบันพุ่ง เล็ง AI บริหารพอร์ต

HoonSmart.com>> “บลจ.ยูโอบี” เดินหน้าธุรกิจเติบโตยั่งยืน ตั้งเป้าปี 67 ดัน AUM โต 10% ต่อเนื่องจากปีก่อนโตเหนืออุตสาหกรรม “กลุ่มลูกค้าสถาบัน” พุ่งดันเม็ดเงินลงทุนโต 1.9 หมื่นล้านบาท เสิร์ฟกองทุนตอบโจทย์นักลงทุนทั่วไป ผนึกความร่วมมือเครือข่ายกลุ่มยูโอบีและพันธมิตร ชู ESG เป็นส่วนหนึ่งการลงทุนอย่างต่อเนื่อง พร้อมเล็งนำ AI ใช้ในกระบวนการลงทุน สร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ส่วนหุ้นไทยปีนี้คาดเป้าหมายดัชนี 1,480 จุดตามพื้นฐาน ลุ้นแตะ 1,570 จุด หวังรัฐเร่งงเบิกจ่าย บกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว-กำไรบจ.ดีเกินคาด

นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แผนงานในปี 2567 บลจ.ยูโอบีตั้งเป้ามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) เพิ่มขึ้น 10% มุ่งเน้นผลักดันการเติบโตให้สูงกว่าภาพรวมอุตสาหกรรม จากปี 2566 ที่ผ่านมา ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนส่งผลให้ AUM ณ ธ.ค.2566 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 248,000 ล้านบาท (ที่มา AIMC) เติบโต 10% จากปี 2565 ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมที่ระดับ 6% โดยมีกองทุนรวมภายใต้การบริหารมูลค่า 124,376 ล้านบาท เติบโต 5% กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 67,830 ล้านบาท เติบโต 8% และกองทุนส่วนบุคคลมูลค่า 55,859 ล้านบาท เติบโต 25%

“ปีที่ผ่านมาบลจ.ยูโอบี ได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าสถาบันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมีมูลค่ากว่า 19,000 ล้านบาท จากการนำเสนอผ่านธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยสามารถสร้างผลตอบแทนย้อนหลังให้ลูกค้าสถาบันได้ดีอย่างต่อเนื่อง และริเริ่มนำเอาปัจจัยสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เข้ามาสู่กระบวนการลงทุนสอดคล้องกับนโยบายของกลุ่มลูกค้าสถาบัน ส่งผลให้ลูกค้าบอกต่อ มีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น ทำให้เราน่าจะครองส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มลูกค้าสหกรณ์เป็นอันดับหนึ่งและในปีนี้เรายังรุกกลุ่มสถาบันอย่างต่อเนื่อง “นายวนา กล่าว

ในขณะที่กลุ่มลูกค้ารายบุคคลมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 11,000 ล้านบาท จากความร่วมมือในเครือข่ายกลุ่มยูโอบี และพันธมิตรการลงทุน นำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุน เช่น CIO Funds, Term Fund, Private Equity Fund และ Thai ESG fund

บริการด้านการลงทุนครบวงจรมากขึ้น

สำหรับความร่วมมือกันภายใต้เครือข่าย UOB Group เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ารายบุคคลของธนาคารยูโอบี จึงร่วมกับทีม UOB Private Banking CIO ของสิงคโปร์ นำเสนอ 2 เป้าหมายการลงทุนผ่าน CIO Funds คือ เพื่อโอกาสสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ (Income) ได้แก่ กองทุนเปิด ยูไนเต็ด อินคัม ฟันด์ TH หน่วยลงทุนชนิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบปกติ (UIFT-N) และ เพื่อสร้างโอกาสเติบโตของเงินลงทุน ได้แก่ กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกรท ฟันด์ TH หน่วยลงทุนชนิดเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (UGFT) ซึ่งมีจุดเด่นลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก สามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมในแต่ละภาวะตลาด

สำหรับกลุ่มลูกค้าสถาบัน โดยร่วมมือกับทีม Group Wholesale Banking ของธนาคารยูโอบี เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์การเงินการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านการให้บริการของธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

นอกจากนี้ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนทางเลือกใหม่ให้กับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ บลจ.ยูโอบี ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนในรูปแบบกองทุนรวมทรัพย์สินทางเลือกลงทุนในหน่วย Private Equity หรือหุ้นนอกตลาดที่มีศักยภาพผ่านกองทุนหลัก ซึ่งคัดเลือกพันธมิตรการลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์ เป็นอีกความสำเร็จในการสรรหาผลิตภัณฑ์การลงทุนในรูปแบบใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนและต่อยอดความมั่งคั่งในระยะยาว

นายวนา กล่าวว่า สำหรับแนวทางกลยุทธ์ในปี 2567 บลจ.ยูโอบี จะมุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์กองทุนที่เหมาะสมกับแต่ละสภาวะตลาด และให้คำปรึกษาการลงทุนแบบครบวงจร (One-stop advisory services) ส่วนการขยายธุรกิจในกลุ่มลูกค้าสถาบันจะเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์การเงินแบบองค์รวม มุ่งหวังตอบโจทย์ครอบคลุมทุกมิติด้านการเงิน ที่ไม่ได้จำกัดเพียงแต่การจัดการลงทุนเท่านั้น (Beyond Investment) โดยร่วมมือกันภายใต้เครือข่าย UOB Group และได้นำปัจจัย ESG มาเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ บลจ.ยูโอบี อยู่ระหว่างการพิจารณานำเอาแนวคิด Artificial Intelligence (AI) มาใช้ในกระบวนการลงทุน เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวและเป็นการต่อยอดการพัฒนาอุตสาหกรรมกองทุนของไทยให้มีความยั่งยืน

มองเป้าหุ้นไทย 1,480 จุด

สำหรับมุมมองการลงทุนในปี 2567 คาดตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทน 8-10% ในกรณีพื้นฐาน(Base case) เป้าหมายดัชนีปลายปีที่ระดับ 1,480 จุด กำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS) ที่ 93 บาทและ P/E อยู่ที่ 15.9 เท่า อย่างไรก็ตามดัชนีมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 1,570 จุดได้ หากมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงภาพรวมยอดใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่อหัวปรับตัวดีขึ้น และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มปรับตัวดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์

บลจ.ยูโอบียังมองบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทย, กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล เช่น นโยบายกระตุ้นการใช้จ่าย นโยบายช่วยเหลือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และหลังงบประมาณผ่าน จะมีบางกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการใช้สอยภาครัฐบาล รวมถึงกลุ่มพลังงานยานยนต์ไฟฟ้า(EV) เป็นต้น

ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่ ภาพรวมการลงทุนเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยุโรปที่มีแนวโน้มชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง จากการหดตัวของภาคการผลิต รวมถึงจีนที่ยังคงมีความเปราะบางของภาคอสังหาริมทรัพย์ จึงแนะนำกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังหุ้นกู้เอกชนที่มีคุณภาพ หุ้นในภูมิภาคเอเชีย หุ้นกลุ่มที่เป็นกระแสหลักของโลก ได้แก่ หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ ESG, นวัตกรรม และกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพ

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1.อัตราเงินเฟอที่แม้ว่าจะปรับตัวลดลงแล้วแต่ต้องติดตามดูพัฒนาการว่าจะสามารถปรับตัวลดลงได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ 2. ความสอดคล้องกันระหว่างการดำเนินนโยบายทางการเงินของ Fed ที่ต้องสร้างสมดุลระหว่างการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และการบริหารความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย และ3. จับตาดูผลจาก Credit Conditins ที่เข้มงวดก่อนหน้านี้มากขึ้น ว่าจะส่งผ่านไปยัง Real Sector มากน้อยแค่ไหน

ส่วนภาพรวมศรษฐกิจโลกในปี 2567 คาดการณ์จะปรับลดลงที่ 2.70% ในปีนี้ และจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 3.00% ในปีหน้า (ที่มา : Bloomberg Analyst Consensus as of 8 February 2024) จากที่สหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่องและชะลอตัวในลักษณะน้อยกว่าที่ตลาดกังวล (Better Than Fear) รวมถึงทิศทางอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจนและภาคการจ้างงานที่ชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปช่วยสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณยุติการขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยมีโอกาสสูงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวแบบไม่รุนแรง (Soft Landing) และเปลี่ยนผ่านเข้าสู่วัฏจักรเศรษฐกิจระยะปลาย (Late Cycle) สำหรับตลาดหุ้นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อนแรง จากอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงชัดเจน รวมถึงภาคการจ้างงานที่ชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

แนะหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดี-หุ้นเอเชีย-หุ้น ESG-หุ่นนวัตกรรม-หุ้นธุรกิจเพื่อสุขภาพ”

ในขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียมีความผันผวนมากขึ้น หลังจากแนวโน้มการฟื้นตัวจากการเปิดประเทศเริ่มหมดไปและเผชิญกับความท้าทายจากอุปสงค์ภายนอกที่ชะลอตัวลงจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตลดลง โดยมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ ความเปราะบางของภาคอสังหาริมทรัพย์โดยแม้ว่าจะมีการกระตุ้นจากภาครัฐออกมาแล้ว แต่ยังมีความท้าทายของรัฐบาล คือ การหาจุดสมดุลทางนโยบายในการแก้ปัญหาระยะสั้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์กับการเติบโตระยะยาวของเศรษฐกิจ

บลจ.ยูโอบี มีมุมมองว่าการบริหารความเสี่ยงท่ามกลางสภาวะความไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญและต้องอาศัยการคัดสรรและการกระจายการลงทุนไปยังหลากหลายสินทรัพย์ควบคู่กันไปด้วย จึงแนะนำให้ลดน้ำหนักการถือครองเงินสดและตราสารหนี้ภาครัฐระยะสั้น เนื่องจากวัฏจักรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนทั่วโลก เนื่องจาก Treasury ที่ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วทำให้ระดับ Yield ในฝั่ง Credit มีความน่าสนใจมากกว่า ในขณะเดียวกันแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแรงกว่า จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ Credit Spread ปรับตัวลดลงได้อีก

สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ยังคงต้องอาศัยการคัดสรรตราสารที่มากขึ้น (Selection) เช่น การใช้ปัจจัย ESG เพื่อคัดกรองบริษัทที่มีคุณภาพและช่วยลดความผันผวน และ Downside จากการลงทุน ในขณะเดียวกันได้เพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่มประเทศในฝั่งเอเชียที่มี Valuation ที่น่าสนใจและมีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนจะไหลกลับหลังจากทิศทางดอกเบี้ยและค่าเงินดอลลาร์ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยการจัดสรรการลงทุนดังกล่าว เราเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงได้แม้ในช่วงเวลาที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลง


“กวาด 6 รางวัล ESG-กองทุนยอดเยี่ยม”

ทั้งนี้ ภายใต้แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืนด้วยปัจจัย ESG นั้น เป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นที่ UOB Group ได้นำเอาแนวทางระดับสากลของ PRI (Principles for Responsible Investment) มาปรับใช้ในทุกมิติขององค์กร โดยในปีที่ผ่านมา บลจ. ยูโอบี ได้รับรางวัลด้าน ESG ถึง 3 รางวัลจากสถาบันทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่

1) Best Asset Management Company Awards : ESG, SET award จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้รับเมื่อ ปี 2023
2) Best Sustainable Investments Thailand จาก Citywire Asia ได้รับเมื่อ ปี 2023 และ 3) Best ESG Manager (Thailand), จาก Asia Asset Management ได้รับเมื่อ ปี 2023

รางวัลดังกล่าวสะท้อนความเป็นผู้นำในการผลักดันนโยบาย ESG ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม ไม่เพียงแต่ในระดับของธุรกิจ ในระดับนโยบายภาครัฐเองได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัจจัย ESG ล่าสุดจึงได้มีการสนับสนุนการจัดตั้งกองทุน THAIESG เพื่อเป็นการส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย และ บลจ.ยูโอบี ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนนโยบายดังกล่าว โดยได้นำเสนอ กองทุนเปิด ยูไนเต็ด หุ้นไทย ซัสเทนเนเบิล – ชนิดหน่วยลงทุนไทยเพื่อความยั่งยืนและไม่จ่ายเงินปันผล (UTSEQ-THAIESG) ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งการพัฒนาการของ ESG ในตลาดทุนไทย

นอกจากนี้ ภายใต้การบริหารกองทุนอย่างมืออาชีพ ล่าสุด บลจ.ยูโอบี ได้รับ รางวัล Best Multi-Asset Manager จาก Asia Asset Management เมื่อต้นปี 2024 นับเป็นครั้งแรกของ บลจ.ยูโอบี ที่ได้รับรางวัลสาขานี้ และ กองทุนเปิด ยูโอบี ชัวร์ เดลี – หน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม (UOBSD-SSF) ได้รับรางวัล Best Fund of the Year 2023, SSF Fixed Income Fund จากวารสารการเงินธนาคาร ซึ่งได้รับในปี 2023 เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นบริษัทชั้นนำในด้านการจัดการทั้ง 3 ธุรกิจ ได้แก่ กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์การเงินครอบคลุมกลุ่มลูกค้าสถาบันและลูกค้ารายบุคคล