“กอบศักดิ์” มั่นใจตลาดหุ้นฟื้น ยึดแนวทาง ESG ลงทุน

HoonSmart.com>> “หุ้นสมาร์ท” ก้าวสู่ปีที่ 7 หนุนการลงทุนเพื่อความยั่งยืน “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” แนะนักลงทุนอย่าถอดใจครึ่งปีหลังตลาดฟื้นตัว ยึด ESG เรตติ้ง เดินหน้าลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว 3 บริษัทใหญ่ TU NER EA แชร์ประสบการณ์แนวทางทำธุรกิจที่คำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อมและธรรมาภิบาล สร้างธุรกิจเติบโต

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล

ในโอกาสครบรอบ 6 ปี สำนักข่าวหุ้นสมาร์ท และก้าวสู่ปีที่ 7 “แน่งน้อย ชัยรัตนมโนกร” บรรณาธิการบริหาร และทีมงานได้จัดสัมมนาเรื่อง “ESG : โตยั่งยืนเหนือคู่แข่ง” เพื่อสนับสนุนบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อมและมีธรรมาภิบาล รวมทั้งให้นักลงทุนได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับการลงทุนในระยะยาว โดยเชื่อว่าบริษัทที่ให้ความสำคัญกับ ESG จะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนและสร้างเติบโตอย่างมั่นคง มี ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นประธานเปิดงานพร้อมกล่าวปาฐกถา หัวข้อ “ESG : โลกของทุกธุรกิจ”

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตได้ 3% และช่วงกลางปีนี้ คาดว่าธนาคารกลางหลายประเทศจะเริ่มลดดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งอเมริกา ยุโรป อังกฤษ ออสเตรเลีย เพราะเข้าใกล้เป้าหมายจะชนะเงินเฟ้อแล้ว และเมื่อเงินเฟ้อปรับลดลง ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ จะเริ่มลดดอกเบี้ย ทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ประเทศไทยตอนนี้บรรยากาศโดยรวมปรับตัวดีขึ้น ส่งต่อภาคการท่องเที่ยว สนามบิน และโรงพยาบาล รวมถึงภาคการส่งออกไม่ได้แย่มาก ขณะที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้น ต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาอีกระยะ
“เมื่อโลกเริ่มฟื้น เศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ ผ่าน 6 ดือนแรกไปได้จะดีขึ้น ช่วงนี้ถ้าหุ้นผันผวนอย่าถอดใจ อย่าเพิ่งถอดใจ ให้อดใจรอถือยาว ๆ” ดร.กอบศักดิ์กล่าว

ESG โอกาสลงทุนระยะยาว
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับการลงทุนตามแนวทาง ESG นักลงทุนเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ และยังเป็นเทรนด์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเริ่มมีการยกระดับในการจัดเรตติ้ง หากบริษัทใดไม่มีเรื่อง ESG Rating หรือไม่ผ่านเกณฑ์ ESG กองทุนฯจะตัดสินใจไม่ลงทุนในบริษัทนั้น ๆ นอกจากนี้ ESG ยังเป็นเทรนด์สำคัญในยุค Economic Disruption ที่เกิดจากปัญหาภัยพิบัติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ภาวะโลกเดือด ปัญหาเหล่านี้ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 20 ปีในการแก้ปัญหา ดังนั้นบริษัทที่ดำเนินการเรื่อง ESG จะมีโอกาสด้านการลงทุนระยะยาว

สำหรับเทรนด์ที่ทำให้ทั่วโลกให้ความสำคัญกับ ESG เกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

ปัจจัยแรก การเปลี่ยนแปลงของโลก และผู้บริโภคให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด เช่น การลงทุนดาต้า เซ็นเตอร์ของบริษัทระดับโลกย้ายจากสิงคโปร์มาไทย เนื่องจากไทยมีพลังงานสะอาดพร้อมรองรับ ถือเป็นจุดขายสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อม

ปัจจัยที่สอง ปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น ทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้องมีมาตรการมาบังคับใช้ เช่น Net Zero Emission Carbon Credit ทุกประเทศมีเป้าหมายเดียวกัน เช่น ลดการใช้รถยนต์สันดาป เกณฑ์ Taxonomy โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมพลังงาน และขนส่ง เริ่มมีรายละเอียดมากขึ้นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

“Energy Transition Plan ที่แต่ละประเทศต้องดำเนินการเพื่อไปสู่เป้าหมาย ก่อให้เกิดการลงทุนมหาศาล การปรับเปลี่ยนเรื่องพลังงาน เพื่อไปสู่เป้าหมายการลดคาร์บอนไดออกไซด์ นำมาสู่การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ เป็นเรื่องที่กระทบการดำเนินงานของบริษัท หน่วยงานกำกับดูแลจึงต้องมีข้อกำหนดรายงานความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ออก ESG Rating คลัง ออกกองทุนใหม่ ThaiESG Fund กรีนบอนด์ กรีนโลน ถือเป็นโลกใหม่ของการลงทุนในปัจจุบัน”

ปัจจัยที่สาม มาตรการต่าง ๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือในการกีดกันการค้า เช่น CBAM ซึ่งจะมีผลต่อบริษัทที่เราลงทุน มีผลบังคับใช้ต.ค.นี้ บริษัทที่ส่งออกไปกลุ่มประเทศยุโรป หากมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดต้องเสียภาษีเพิ่ม เป็นต้น คาดว่าประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ จะมีการกำหนดกฎเกณฑ์เรื่องคาร์บอนมากขึ้น และนี่เป็นแค่เริ่มต้น อนาคต จะเข้มงวด รุนแรง และขยายวงมากขึ้น

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า นัยยะที่ตามมา คือการปรับตัวด้านการเงินครั้งสำคัญ และเป็นโอกาสการลงทุนเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทั้งสายการผลิต โครงสร้างพื้นฐาน และการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ที่ทำให้เกิดลงทุนหลักล้านล้านเหรียญทั่วโลก เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) พลังงานทดแทน และเกษตรสมัยใหม่ และไทย มีศักยภาพที่จะเป็นแหล่งที่เหมาะสมในการสร้างคาร์บอนเครดิต ในอนาคตเป็นโอกาสของตลาดคาร์บอนเครดิตทั่วโลก และเป็นโอกาสการลงทุนเพื่อสังคมมากขึ้น Capital Market for All ถือเป็นจุดขายที่เข้มแข็ง และเป็นโอกาสการลงทุนที่แท้จริงของประเทศไทย

ESG ช่องทางสู่การเติบโตยั่งยืน

สำหรับช่วงสัมมนา ESG ช่องทางเติบโตยั่งยืน “ปราชญ์ เกิดไพโรจน์” ผู้อำนวยการด้านความยั่งยืน ภูมิภาคเอเชีย บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) กล่าวว่า TU ทำเรื่องความยั่งยืนอย่างจริงจัง นับตั้งแต่มีประเด็นเรื่อง IUU เรื่องสิทธิแรงงานประมง ทำให้ต้องเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนโดยเร็ว และทำอย่างต่อเนื่อง ทำให้ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา TU ติดอันดับหนึ่งดัชนีอาหารทะเลยั่งยืน (SSI) 5 ปีซ้อน

นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา TU ได้ประกาศกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน Sea Change 2030 โดยใช้เงินลงทุนราว 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพลิกโฉมอุตสาหกรรมอาหารทะเล ตอบโจทย์การดูแลคนและโลกเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน โดยมีพันธกิจ 11 ข้อ เช่น เป้าหมาย Net Zero Emission ในปี 2050 สัตว์น้ำที่นำมาผลิตอาหารต้องมาจากแหล่งประมงที่ยั่งยืน 100% ในปี 2040 100% ของกุ้งที่ผลิตโดย TU ต้องมาจากฟาร์มที่ยั่งยืน และสร้างโมเดลให้ผู้บริโภคช่วยสนับสนุนฟาร์มยั่งยืนเหล่านี้

“กลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนของบริษัท สร้างผลดี ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ระยะสั้น การดำเนินการต่าง ๆ เป็นจุดขายที่สำคัญขององค์กร ที่ต้องการเป็น World Most Trust Seafood Leader สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในเรื่องความยั่งยืน ส่วนระยะยาวเป็นการสร้างความยั่งยืนของมหาสมุทร ซึ่งสำคัญมากกับบริษัทและอาหารทะเลทั่วโลก คนอีก 100 ล้านคนที่เกี่ยวข้อง”

“เกศนรี จองโชติศิริกุล” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการตลาด/ควบคุมคุณภาพและพัฒนาความยั่งยืน บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) กล่าวว่า แม้ NER จะเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดฯ 5 ปี แต่ดำเนินธุรกิจมา 16 ปี และให้ความสำคัญกับการดำเนินงานเรื่องสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้น เนื่องจากลูกค้ารายใหญ่ที่ทำสัญญาซื้อขายสินค้าให้ความสำคัญกับ ESG จากนั้นจึงให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนมาโดยตลอด

“วิชั่นของ NER ต้องการเป็นผู้นำในการผลิตยางธรรมชาติ พัฒนาธุรกิจสู่อุตสาหกรรมปลายน้ำ ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนอย่างยั่งยืน”

ล่าสุด สหภาพยุโรปมีการบังคับใช้กฎหมายใหม่ เรียกว่า EUDR จะไม่รับซื้อยางจากพื้นที่ปลูกยางที่รุกป่า ถือเป็นมาตรการกีดกันการค้าอย่างหนึ่ง ขณะเดียวกันถือเป็นโอกาส เพราะยางที่ปลูกในประเทศไทย สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ได้ราคาพรีเมียม และยังเป็นต้นไม้ที่ดูดซับคาร์บอนได้ ได้สิทธิคาร์บอนเครดิต ทำให้ราคายางปรับตัวขึ้นมากจากมาตรการนี้ และทำให้บริษัทได้ AAA เรตติ้งด้านความยั่งยืน ที่ทำ ESG ครบทุกมิติ

“วสุ กลมเกลี้ยง” Executive Vice President Investment Planning Department บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (EA) กล่าวว่า EA มีพันธกิจดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนตามแนวทาง ESG ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ปัจจุบันมี 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ น้ำมันสีเขียว พลังงานทดแทน และ EV Ecosystem ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของโลกทำให้เกิดดีมานด์ในตลาด และทำให้บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ICAO มีกฎบังคับให้สายการบินใช้น้ำมันสีเขียว ซึ่งจะเปิดสายผลิตแรกไตรมาส 3 ปีนี้ ปริมาณ 20-30 ล้านลิตรต่อปี รองรับตลาดไทยและสิงคโปร์ รวมถึงการพัฒนาตลาด Hybride Renewable โดยร่วมกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวภูเก็ต “ภูเก็ต กรีน ไอส์แลนด์”

“ธุรกิจ EA ได้รับการตอบสนองที่ดี จากรายได้ 14,000 ในปี 2019 ปีที่ผ่านมารายได้แตะ 3 หมื่นล้านบาท เติบโตเท่าตัว แนวโน้มธุรกิจในปีนี้จะเน้นด้านโลจิสติกส์มากขึ้น การให้บริการ EV Truck เราทำธุรกิจพลังงานสีเขียว โลกขับเคลื่อนไปทางนี้อยู่ ทำให้มีโอกาสด้านการเงิน กรีน ไฟแนนซิ่ง ตลาดทุน วันนี้เริ่มมีคนถามหากรีนบอนด์ ลงทุนเกี่ยวกับกรีน ถือเป็นโอกาสใหม่ๆ เรามีสัดส่วนกรีน ไฟแนนซิ่งที่ได้รับการันตี 35% ของพอร์ต เป็นมุมมองเชิงบวกสำหรับการลงทุนในอนาคต” วสุ กล่าว