ฟิทช์คงเรทติ้ง”ไทยประกันชีวิต”ที่ A- อัตรากำไรมูลค่าธุรกิจใหม่ดี

HoonSmart.com>>ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากลของบริษัท ไทยประกันชีวิต(TLI) ที่ A-

ทั้งนี้ ระดับดังกล่าวจัดอยู่ในระดับ “แข็งแกร่ง”และคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ ที่‘AAA(tha)’ โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

อันดับเครดิตของ TLI สะท้อนถึงโครงสร้างการดำเนินงานของบริษัทในธุรกิจประกันภัยที่ยังแข็งแรง (Favorable Company Profile) รวมทั้งระดับเงินกองทุนและผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัท โดยมีอัตรากำไรจากมูลค่าของธุรกิจใหม่ (New Business Value Margin) ที่ดี

อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของโครงสร้างเครดิตของบริษัทได้ถูกลดทอนไปบ้างจากความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และการลงทุน ที่อยู่ในระดับปานกลาง

ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต มาจากโครงสร้างการดำเนินงานที่แข็งแรงเมื่อเทียบกับบริษัทประกันชีวิตอื่นในประเทศไทย ซึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทมีขนาดของธุรกิจระดับกลาง มีเครือข่ายธุรกิจ(franchise) ที่แข็งแรง และการมีบรรษัทภิบาลที่ดี (neutral) ในด้านโครงสร้างการดำเนินงานในธุรกิจประกันภัย (company profile credit factor score) ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การพิจารณาปัจจัยเครดิตของฟิทช์ (credit factor scoring guideline)

TLI เป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ในประเทศไทย โดยบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 14% ในด้านเบี้ยประกันชีวิตรวม ณ สิ้น ปี 2566 บริษัทมีผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่มีความหลากหลาย ทั้งในส่วนของประกันชีวิต ประกันออมทรัพย์ ประกันสุขภาพ และประกันเพื่อการลงทุน อีกทั้งมีช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งผ่านเครือข่ายตัวแทนขายประกันชีวิตมากกว่า 25,000 ราย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่ 72% ของเบี้ยประกันทั้งหมด

ในขณะที่การขายประกันผ่านธนาคารพาณิชย์และบริษัทนายหน้า (broker) มีสัดส่วนที่ 21% ของเบี้ยประกันและช่องทางอื่นๆ คิดเป็น 7%

ระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยคาดว่าบริษัทจะมีระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่งและมีความสามารถในการรองรับความเสี่ยงที่แข็งแรง ระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงไว้ตามกฎหมาย (Risk-based capital ratio) ที่ปรับตัวลงมาเล็กน้อยที่ระดับ 398% ณ สิ้นปี 2566 (420% ณ สิ้นปี 2565) แต่ยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 140% อย่างมาก

ทั้งนี้ฟิทช์ ประเมินฐานะเงินกองทุนของบริษัทยังคงอยู่ที่สูงกว่าระดับแข็งแกร่งมาก (‘Very Strong’) จากข้อมูลการเงิน ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2566

ผลประกอบการที่สม่ำเสมอ มุ่งเติบโตในธุรกิจที่มีความอ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ยที่ไม่สูงนักและยังมีอัตรากำไรที่ดีและค่อนข้างมั่นคง โดยใน 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ประมาณ 11% ซึ่งปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 3 ปีในช่วงปี2564 – 3Q66 ที่ 10%
ทั้งนี้ กำไรของธุรกิจใหม่ได้รับปัจจัยสนับสนุนมาจากการที่สัดส่วนประกันสะสมทรัพย์ที่มีการรับประกันผลตอบแทนสูงปรับตัวลดลง ซึ่งจะทะยอยถูกแทนที่โดยประกันแบบมีส่วนร่วมในเงินปันผล อีกทั้งบริษัทยังมีกลยุทธ์การปรับราคาเบี้ยประกันที่มีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ เสถียรภาพของรายได้ยังมีได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานด้านการลงทุนที่สม่ำเสมอ ซึ่งวัดจากอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่า 3% ในอดีตถึงปัจจุบัน

อัตราส่วนสินทรัพย์เสี่ยงต่อส่วนของผู้ถือหุ้นทรงตัว โดยบริษัทมีสัดส่วนการลงทุน (portfolio mix) ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก โดยมีอัตราส่วนสินทรัพย์เสี่ยงต่อส่วนของผู้ถือหุ้นค่อนข้างทรงตัว โดยอยู่ที่ระดับ 190% ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2566 (อัตราเฉลี่ย 3 ปีที่ 196%) สินทรัพย์เสี่ยงของบริษัทส่วนใหญ่มาจากการลงทุนในตราสารหุ้นและตราสารหนี้ที่มีอันดับเครดิตสากลต่ำกว่าระดับลงทุน (below investment grade)

อย่างไรก็ตามอัตราส่วนดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับที่กำหนดไว้ตามเกณฑ์ของฟิทช์สำหรับบริษัทประกันชีวิตที่มีอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากลที่ช่วงระดับ ‘A’ (category) ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และการลงทุนของบริษัทอยู่ในระดับปานกลาง