HoonSmart.com>>”นอร์ทอีส รับเบอร์” (NER) เปิดกลยุทธ์เสริมแกร่งโตยั่งยืน บริหารต้นทุนเพิ่มประสิทธิภาพ ตั้งเป้าผลิต 5 แสนตัน ยอดขายปีนี้โต 24% มูลค่า 34,000 ล้านบาท เดินหน้าทุ่มงบลงทุน 2,000 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตยางแท่งและยางผสมแห่งที่ 3 ในไตรมาส 2 ขยายกำลังการผลิตกว่า 62%รองรับออเดอร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปรับกลยุทธ์ลดปริมาณสำรองป้องกันความเสี่ยงจาก 100% เหลือ 80% เพิ่มโอกาสทำกำไรสูงขึ้น
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) ผู้นำการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่าย ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง ยางผสม และสินค้าปลายน้ำแผ่นยางพาราปูพื้นคุณภาพสูง เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าผลิตอยู่ที่ 500,000 ตัน หรือยอดขายประมาณ 34,000 ล้านบาท เติบโต 24% เพิ่มกำไรจากปี 2567 ที่ผ่านมา มีกำไร 1,652 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.91%
นอกจากนี้ยังเดินหน้าด้วยกลยุทธ์เสริมความแกร่งด้านการลงทุน โดยเตรียมสร้างโรงงานใหม่แห่งที่ 3 ซึ่งผลิตยางแท่งและยางผสม พร้อมทุ่มงบ 2,000 ล้านบาท เพื่อรองรับตลาดยางพาราที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และรองรับออเดอร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนที่เป็นลูกค้าหลักมีการสั่งซื้อเพิ่มขึ้น พร้อมขยายฐานลูกค้ารายใหม่มากขึ้นในภูมิภาคเอเชียที่มีความต้องการยางพาราสูงขึ้น
NER คาดว่าเมื่อโรงงานผลิตยางแท่งแห่งที่ 3 ก่อสร้างแล้วเสร็จจะเริ่มทยอยติดตั้งสายการผลิต โดยในปี 2569 กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นอีก 159,400 ตัน เป็น 675,000 ตันต่อปี และในปี 2570 เมื่อเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิต จะเพิ่มขึ้นอีก 160,600 ตัน เป็น 835,600 ตันต่อปี
“โรงงานแห่งที่ 3 จะเพิ่มกำลังการผลิตรวม จาก 515,600 ตันต่อปี เป็น 835,600 ตันต่อปี หรือเพิ่มขึ้นทั้งหมด 320,000 ตันต่อปี คิดเป็นอัตราการเติบโต 62% ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันในตลาดโลก โรงงานแห่งใหม่นี้จึงมีบทบาทสำคัญในการผลักดันศักยภาพการผลิตของบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง รองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นทั้งจากลูกค้ารายเดิมและรายใหม่ในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย”นายชูวิทย์กล่าว
นอกจากนี้ NER ยังส่งเสริมเกษตรกรในการปลูกยางพาราที่ได้มาตรฐานตามข้อกำหนด EUDR เพื่อให้มีวัตถุดิบเพียงพอต่อการผลิตทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ รวมทั้งปรับกลยุทธ์ด้านการลดปริมาณการป้องกันความเสี่ยงจาก 100% เป็น 80% เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร จากสถานการณ์วัตถุดิบที่มีปริมาณตึงตัว ที่ผ่านมา NER จะทำการป้องกันความเสี่ยงด้านราคา 100% ของยอดขาย ถึงแม้จะทำให้กำไรมีความสม่ำเสมอ แต่ต้องแลกด้วยการเก็บสินค้าคงคลังยางพาราที่สูง เพราะปกติต้องเก็บยางพารา 4-5 เดือน ก่อนถึงวันส่งมอบสินค้าทำให้ NER มีมูลค่าสินค้าคงคลังสูงกว่าคู่แข่ง แต่เมื่อราคายางเป็นเทรนด์ขาขึ้น NER จะไม่ได้ประโยชน์ เพราะได้ล็อกทั้งต้นทุนและราคาขายยางพาราไปแล้ว
NER เชื่อมั่นว่าการขยายกำลังการผลิตในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงและยั่งยืนทางธุรกิจในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ผลักดันให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยางพาราระดับภูมิภาคอย่างมั่นคง พร้อมกันนี้ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาและดูแลพนักงานในทุกระดับอย่างต่อเนื่อง ผ่านการสร้างแรงจูงใจในการทำงาน พร้อมสนับสนุนให้พนักงานเติบโตไปพร้อมกับองค์กรอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ขณะเดียวกัน NER ยังดำเนินกิจกรรมทางด้าน ESG อย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนในพื้นที่ที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคม โดยยึดมั่นในเป้าหมายหลักของการดำเนินธุรกิจ “NER สร้างคุณค่าที่มากกว่ายาง” และ วิสัยทัศน์ “เราคือผู้ผลิตยางธรรมชาติชั้นนำระดับโลก ที่มุ่งสร้างคุณค่าและอนาคตที่ยั่งยืนให้กับทุกชุมชนที่มีเรา” ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำด้านการผลิตยางธรรมชาติคุณภาพสูงที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยดำเนินธุรกิจด้วยความสุจริต โปร่งใส และยุติธรรม พร้อมตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสังคมในทุกมิติ บริษัทฯ จะเดินหน้าเติบโตอย่างมั่นคงสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมยางพาราอย่างต่อเนื่อง