ก.ล.ต.เข้ม IPO สั่งเปิดชื่อ 40 ขาใหญ่  ก่อนเทรดไม่น้อยกว่า 2 วัน เริ่ม 1 มี.ค.นี้

HoonSmart.com>>ก.ล.ต.เข้มเกณฑ์ IPO สั่งเปิดชื่อ 40 ขาใหญ่ พร้อมแหล่งที่มาได้จัดสรร -ผู้ถือหุ้นหลัง IPO -จำนวนหุ้นที่ล็อกไม่ขาย ก่อนเทรดไม่น้อยกว่า 2 วัน เริ่มใช้ 1 มี.ค.นี้ เพื่อให้นักลงทุนทั่วไปรู้ข้อมูลทันสถานการณ์  พร้อมแจงวัตถุประสงค์ของการเข้าตลาดหลักทรัพย์ด้วย

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปรับปรุงประกาศเกี่ยวกับการรายงานผลการขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (หุ้น IPO) และมีวัตถุประสงค์เพื่อนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้ผู้ลงทุนได้ทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนก่อนวันที่หุ้น IPO จะเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป

ก.ล.ต. ปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการรายงานผลการขายหุ้น IPO โดยมุ่งให้มีการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุนเพิ่มขึ้น (disclosure-based) เพื่อให้ทันเวลาและไม่เป็นภาระต่อผู้มีหน้าที่รายงานข้อมูล

ส่วนสาระสำคัญโดยสรุป ดังนี้
1. กำหนดให้เปิดเผยข้อมูลผู้ได้รับการจัดสรรหุ้น IPO เพิ่มเติมจากแบบรายงานผลการขายหุ้น 81-1-IPO ในรูปแบบรายงานผลการขายอย่างย่อ (แบบ 81-1 อย่างย่อ) ประกอบด้วยข้อมูล 2 ส่วน ได้แก่ 1) ข้อมูลผู้ถือหุ้นหลัง IPO เช่น จำนวนและสัดส่วนการถือหุ้นหลัง IPO จำนวนหุ้นที่มีข้อกำหนดการห้ามขาย (Lock-up) และ 2) ข้อมูลผู้ได้รับจัดสรรมากที่สุด 40 รายแรก เช่น จำนวนหุ้นที่ได้รับการจัดสรรและสัดส่วนของการได้รับจัดสรรเทียบกับการเสนอขายทั้งหมด และแหล่งที่มาของการได้รับจัดสรร

2. กำหนดให้ผู้มีหน้าที่รายงานนำส่งแบบ 81-1 อย่างย่อ นำส่งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 2 วันทำการก่อนวันที่บริษัทจะเข้าซื้อขายเป็นวันแรก (First trading day) หรือภายใน 30 วันนับแต่วันที่ปิดการเสนอขาย แล้วแต่ว่าวันใดถึงกำหนดก่อน โดยให้บริษัทรายงานข้อมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของตลาดหลักทรัพย์ที่จัดไว้ และให้ถือว่าได้รายงานต่อ ก.ล.ต. ด้วยแล้ว (ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับการนำส่งรายงานแบบ 81-1-IPO ในปัจจุบัน)

ทั้งนี้ ประกาศที่เกี่ยวข้องดังกล่าวได้เผยแพร่ลงในราชกิจจานุเบกษาและมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป โดยให้ใช้บังคับกับบริษัทที่ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ที่มีผลใช้บังคับ (filing effective) หลังจากวันที่ประกาศมีผลใช้บังคับแล้ว