“AWC”คาดรายได้ปี’67โตแรง ทุ่ม 3.6 หมื่นล.ลงทุน18โครงการ

HoonSmart.com >>แอสเสท เวิรด์ คอร์ป คาดอัตรากำไรสุทธิต่อรายได้ ปี’67 สูงกว่า 10% แรงต่อเนื่องจากปี’66 ที่ 8% วางงบลงทุน 3.6 หมื่นล้านบาท ใน 18 โครงการเน้นธุรกิจที่มีมูลค่าสูง ในกรุงเทพ พัทยา เชียงใหม่ พร้อมปันผล 0.05 บาทต่อหุ้น

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) เปิดเผยว่า ปี 2567 บริษัทคาดว่ารายได้ปี 2567 จะยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างโดดเด่นต่อเนื่องจากปี 2566 ที่รายได้เพิ่มขึ้น 30.9%  และอัตรากำไรสุทธิต่อรายได้น่าจะสูงกว่า 10% จากปี 2566 อยู่ที่ 8% เห็นได้จากรายได้ในไตรมาส 4 เข้ามามาก โดยเฉพาะเดือนธันวาคม ปี 2566 มี EBITDA กระแสเงินสด เป็น 6 เท่าของเดือนกรกฎาคม จากการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว และรายได้ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึงเดือนมกราคม ปี 2567 รวมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ที่แต่ละโรงแรมมียอดจองที่ดีมากจากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ อาทิ โดยรายได้หลักยังมาจากธุรกิจในกรุงเทพเป็นหลัก 60% โดยปีนี้จะเติมรายได้จากโครงการใหม่ๆ ที่พัทยาเข้ามาเสริม

 

สำหรับ ปี 2567 บริษัทฯ มีแผนลงทุนใหม่ประมาณ 36,000 ล้านบาท ใน 18 โครงการใหญ่ จากงบลงทุน 5 ปี ช่วง 2567-2571 รวม 126,000 ล้านบาท แยกเป็นเปิดโครงการใหม่ 18 โครงการ มูลค่ากว่า 19,000 ล้านบาท และมีโครงการอยู่ระหว่างการขออนุมัติการลงทุนอีกกว่า 17,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์การเติบโต (GROWTH-LED Strategy)

ปีนี้ กระแสเงินสดกลับมาแข็งแกร่งมากขึ้น จึงเพิ่มเงินลงทุนในแผน 5 ปี ขึ้นมาอีก 2.6 หมื่นล้านบาท โดยไม่ต้องทำการเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นซึ่งอดีตที่ผ่านมางบลงทุน 5 ปีจะอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท ในงบลงทุนรวม 1.26 แสนล้านบาท มีโครงการลงทุนในแผน 5 ปีกว่า 70 โครงการ โดยเป็นของบริษัท 100% จำนวน 50 โครงการ ที่เหลือเป็นโครงการภายใต้สัญญาให้สิทธิ โดยหลักๆอยู่ในกรุงเทพฯ ตามด้วยพัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ โดยวางอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E วางเป้าไว้ไม่เกิน 1.1 เท่า โดยปี 2566 อยู่ที่ 0.9 เท่า

ล่าสุด AWC ได้เริ่มเดินหน้าตามกลยุทธ์การเติบโตในปี 2567 เพื่อสร้างการเติบโตของทรัพย์สินผ่าน 3 โครงการใหญ่ โดยคณะกรรมการบริษัทเห็นชอบให้เข้าลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพบนพื้นที่ระดับไพรม์โลเคชั่นใน 2 จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ประกอบไปด้วย

การเข้าลงทุนในโครงการโอพี การ์เด้น ย่านบางรัก เพื่อเชื่อมกับโครงการแฟลกชิป โรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งเสริมจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวริมสายน้ำ คาดว่าจะเปิดดำเนินการประมาณไตรมาสที่ 4 ปี 2570 และโครงการโรงแรมในพื้นที่ถนนสุขุมวิท 38 ซึ่งเป็นย่านไลฟ์สไตล์สุดเทรนดี้ของกรุงเทพฯ เพื่อพัฒนาโครงการโรงแรมด้านเวลเนส คาดว่าจะเปิดดำเนินการประมาณไตรมาสที่ 3 ในปี 2571

รวมถึงการเข้าลงทุนเพิ่มในพื้นที่ช้างคลานใจกลางจังหวัดเชียงใหม่ ที่จะได้รับการพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “Lannatique Destination” ระดับเมกะโปรเจคในอนาคตของทางบริษัทฯ เพื่อร่วมสร้างคุณค่าและสนับสนุนจังหวัดเชียงใหม่เป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

สำหรับ ผลประกอบการ ปี 2566 มีความแข็งแกร่งด้วยรายได้รวมทั้งปีอยู่ที่ 19,011 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.9% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน (YoY) และเหนือกว่าก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 รวมถึงมีผลการดำเนินงานที่ทำนิวไฮสูงสุดใน 5 ด้าน ด้วย

1) กำไรสุทธิเติบโตก้าวกระโดดถึง 5,105 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.2% (YoY)

2) มีกำไรจากการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจ (BU EBITDA) สูงถึง 10,639 ล้านบาท ตามงบการเงินซึ่งรวมมูลค่ายุติธรรม เพิ่มขึ้น 26.6% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน (YoY) โดยยังคงสามารถรักษาอัตราการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจตามงบการเงินได้อย่างสม่ำเสมอเฉลี่ยสี่ปีย้อนหลัง (2563-2566) อยู่ที่ 74% ต่อปี สะท้อนผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งด้วยความสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลายสร้างสมดุลเชิงธุรกิจ (Balanced and Diversified Portfolio) กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการสามารถทำผลงานได้อย่างโดดเด่น ด้วยความสามารถในการสร้าง

3) รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) เติบโตสูงสุดที่ 3,658 บาท เพิ่มขึ้น 54.8% และ

4) มีรายได้เฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate: ADR) เท่ากับ 5,661 บาทต่อคืน เพิ่มขึ้น 17.4% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน (YoY) และ

5) ปี 2566 เป็นปีที่บริษัทฯ ได้สร้างการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วยทรัพย์สินดำเนินงานใหม่ประมาณ 6,000 ล้านบาท และโครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติกว่า 14,000 ล้านบาท โดยเป็นทรัพย์สินดำเนินงานใหม่ 9 โครงการ ประกอบไปด้วยโรงแรม 3 แห่ง และห้องอาหาร 6 แห่ง เพื่อสร้างกระแสเงินสดและเพิ่มศักยภาพในการสร้างกำไรจากการดำเนินงานอย่างยั่งยืน และทรัพย์สินที่ได้รับการอนุมัติให้ลงทุน อาทิ การลงทุนในโรงแรมพลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก

รวมมูลค่าพอร์ตทรัพย์สินทั้งหมดอยู่ที่ 146,799 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 โดยคิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินดำเนินงานอยู่ที่ 108,202 ล้านบาท

ทั้งนี้ จะมีการจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.05 บาทต่อหุ้นจากผลการดำเนินงานปี 2566

สำหรับ ผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในปี 2566 มาจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการที่มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นจากทั้งกลุ่มโรงแรมในกรุงเทพฯ โรงแรมอื่นๆ นอกกรุงเทพฯ และโรงแรมรีสอร์ท ระดับ ลักซ์ชูรี เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวคุณภาพกลุ่ม FIT (Free Individual Traveler) ที่มีศักยภาพและใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวสูง (High-to-Luxury) ทำให้โรงแรมในเครือ AWC สามารถสร้างรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) และรายได้เฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate: ADR) อย่างโดดเด่นในระดับนิวไฮ โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (Occupancy Rate) เติบโตมาอยู่ที่ 64.6% โดยดัชนีการสร้างรายได้ (Revenue Generation Index หรือ RGI) ในภาพรวมสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับโรงแรมในกลุ่มเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ โรงแรม คอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ ซึ่งได้รับความนิยมสูง มีค่า RGI เท่ากับ 213.5 โรงแรม แบงค็อกแมริออท เดอะ สุรวงศ์ มีค่า RGI เท่ากับ 188.7 และโรงแรมบันยันทรี กระบี่ มีค่า RGI เท่ากับ 146.4

ทางบริษัทฯ ยังคงมุ่งพัฒนา ปรับปรุง และเพิ่มศักยภาพให้กับทรัพย์สินคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเพิ่มทรัพย์สินดำเนินงานผ่านการเปิดโรงแรมและห้องอาหารชั้นนำระดับโลกในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ อาทิ การเปิดโรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง โฮเทล ซึ่งเป็นโรงแรมระดับลักซ์ชูรีภายใต้แบรนด์อินเตอร์คอนติเนนตัลแห่งแรกของภาคเหนือ การเปิดโรงแรม เชียงใหม่ แมริออท โฮเทล พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมี่ยมที่ใหญ่ที่สุดสำหรับ MICE ในภูมิภาค และการเปิดโรงแรม อินน์ไซด์ บาย มีเลีย กรุงเทพ สุขุมวิท แห่งแรกในประเทศไทย

รวมถึงการเปิดห้องอาหาร เดอะ คริสตัลล์ กริลล์ เฮาส์ ห้องอาหารเดอะ สยาม ที รูมท์ ห้องอาหารเอเชียทีค แอนเชี่ยนท์ ที เฮ้าส์ ห้องอาหาร คิสซึอิเซน ห้องอาหาร เย่ว เรสเทอรองท์ แอนด์ บาร์ และร้าน Cafe Pittore รวมถึงการเข้าซื้อหุ้นกิจการ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก เพื่อเตรียมพัฒนาเป็นโรงแรมระดับลักซ์ชูรี พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก ที่จะเชื่อมกับโครงการโรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก ในประเทศไทย อีกด้วย

รวมจนถึงสิ้นปี 2566 AWC มีจำนวนโรงแรมที่เปิดดำเนินการทั้งหมด 22 โรงแรม รวมจำนวน 6,029 ห้อง และห้องอาหาร (Restaurant Outlet) อีกหลากหลายแห่งในโรงแรมและจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทย

กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ได้มีการเสริมศักยภาพให้กับศูนย์การค้าในเครือด้วยการเสริมกลยุทธ์การตลาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ กิจกรรมระดับโลก Disney100 Village at Asiatique เพื่อดึงดูดผู้เช่าและลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ ส่งผลให้มีจำนวนผู้ใช้บริการกลับเข้ามาจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ในขณะที่ธุรกิจอาคารสำนักงานได้มีการเดินหน้าเสริมศักยภาพเพื่อรองรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้บริการที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งในปัจจุบันและอนาคต อาทิ การเปิด “The Empire Residence” พื้นที่ Co-Living Space กว่า 1,500 ตร.ม. ที่มีขนาดใหญ่และไม่เหมือนที่ไหนในอุตสาหกรรมอาคารสำนักงานในประเทศไทยที่อาคาร “เอ็มไพร์”

รวมถึงการลงนามความร่วมมือกับ 3 เชฟมิชลินสตาร์ระดับโลกเพื่อพัฒนา 3 ห้องอาหารที่ “EA CHEF’S TABLE” ชั้น 56 ในฐานะส่วนหนึ่งของ “EA Rooftop at the Empire” สู่การสนับสนุนกรุงเทพฯ และประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก และธุรกิจอาคารสำนักงานยังคงเป็นธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทฯ อย่างต่อเนื่องจากสำนักงานเกรด A ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ