“ฟินโนมีนา” รุกตลาดขายหุ้นกู้ วิเคราะห์เจาะลึก ให้คำแนะนำลงทุน

HoonSmart.com>> “ฟินโนมีนา” รุกตลาดหุ้นกู้ พร้อมให้คำปรึกษาการลงทุน วิเคราะห์เจาะลึกข้อมูลรายวัน เสิร์ฟนักลงทุน เตรียมเปิดตัวพันธมิตร “สถาบันการเงิน” ลุยโปรเจกต์ขายหุ้นกู้ในตลาดแรก พร้อมตั้งเป้ามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำการลงทุน (AUA) ปี 67 โตแตะ 4.5 หมื่นล้านบาท สัญญาณเงินไหลเข้าจากกลุ่มนักลงทุน Private Banking มองทิศทางลงทุนปีนี้ “ตราสารหนี้” ยังโดดเด่น ส่วน “หุ้นสหรัฐฯ” ชูหุ้นขนาดกลางและเล็ก “ตลาดหุ้นอินเดีย-เวียดนาม” น่าสนใจ

เจษฎา สุขทิศ
เจษฎา สุขทิศ

นายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา (Finnomena) เปิดเผยว่า กลุ่มฟินโนมีนา ได้ขยับเข้าสู่ตลาดหุ้นกู้ เพื่อให้ความรู้ คำปรึกษาและวิเคราะห์การลงทุนในเชิงลึกแก่นักลงทุน หลังเกิดสถานการณ์ตลาดหุ้นกู้มีปัญหาจากการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ของบางบริษัท จึงมองโอกาสในการเข้าสู่ตลาดหุ้นกู้โดยเข้าไปแนะนำเพื่อคัดกรองการลงทุนในหุ้นกู้ผ่าน บริษัทหลักทรัพย์ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด (Definit) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย และมีแผนร่วมมือกับสถาบันการเงินแห่งหนึ่งเปิดเสนอขายหุ้นกู้เอกชนไทยในตลาดแรกและแผนซื้อขายหุ้นกู้ในตลาดรองในอนาคต โดยจะประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการในระยะถัดไป

นอกจากนี้จะมีบริการอื่นๆเพิ่มเติม บริการฝากเงินในแอฟฟินโนมินาในครึ่งปีหลัง รวมทั้งจะมีการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ของกลุ่มฟินโนมีนาในวันที่ 6 มี.ค.2567 นี้ ในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 9

“ช่วงที่ผ่านมากลุ่มฟินโนมีนา ได้เปิดตัวรายการ “ชมรมหุ้นกู้” ผ่านช่องทาง FINNOMENA Podcast ทุกวันอังคารตอนหนึ่งทุ่ม วิเคราะห์พูดคุยและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นกู้ให้คนในวงกว้าง โดยมีการวิเคราะห์หุ้นกู้แบบรายวัน แกะงบรายไตรมาส เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ลงทุนเหมือนที่ให้คำแนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก” นายเจษฎา กล่าว

ปัจจุบันฟินโนมีนามีบริษัทในกลุ่ม 6 บริษัท โดยรายได้หลัก 80% มาจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายกองทุนรวม และอีก 20% มาจาก Fincast ซึ่งมองว่าในอนาคตรายได้จากธุรกิจหุ้นกู้จะมีสัดส่วนประมาณ 40-50% ได้

สำหรับบลน.ฟินโนมีนาดำเนินธุรกิจก้าวสู่ปีที่ 9 มีสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำการลงทุน (AUA) รวมทั้งสิ้น 39,000 ล้านบาท และคาดว่าสิ้นปี 2567 จะเติบโตขึ้นไปแตะ 45,000 ล้านบาท จากการไหลเข้ามาของกลุ่มนักลงทุน Private Banking ของสถาบันการเงิน จากการนำเสนอแผนการลงทุนของฟินโนมีนาที่มีมากถึง 40 แผนการลงทุน ทำให้นัลกงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงภายใต้ความเสี่ยงที่รับได้ พร้อมกับตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการลงทุนเพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องมีส่งเสริมการขายอื่นเข้ามาพ่วงด้วย

นายเจษฎา กล่าวว่า ปัจจุบันมีฐานลูกค้ารวมทั้งสิ้น 140,000 ราย ซึ่งเป็นบัญชีที่ Active ประมาณ 90,000 ราย ด้วยกลยุทธ์การจัดพอร์ตที่ครอบคลุมทุกความเสี่ยง บริษัทจึงตั้งเป้าบัญชีลูกค้าที่ Active เพิ่มเป็น 100,000-120,000 รายในปีนี้ และยังคงปักหมุดในการผลักดันฐานลูกค้ารวมแตะ 1 ล้านราย

ชยนนท์ รักกาญจนันท์

ด้านนายชยนนท์ รักกาญจนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาและผู้ร่วมก่อตั้ง บลน.ฟินโนมีนา กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในปีนี้ มองแนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะปรับลดลงช้าและน้อยกว่าตลาดคาด จึงยังเป็นโอกาสดีในการลงทุนตราสารหนี้โลกที่แนวโน้มสร้างผลตอบแทนในระดับเลขสองหลักได้ โดยแนะนำกองทุนกรุงศรีโกลบอลคอลเล็คทีฟสมาร์ทอินคัม (KF-CSINCOM) ซึ่งมีเงินลงทุนเข้ามากที่สุดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จากนโยบายกองทุนที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน ซึ่งปัจจุบันต้นทุนในการสวอปค่อนข้างสูงประมาณ 3% จึงฉุดผลตอบแทนสุทธิไม่ได้มากนัก ดังนั้นกองทุน KF-CSINCOM จึงน่าสนใจและจากมุมมองค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่มีแนวโน้มแข็งค่า ขณะที่ดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้เมื่อดอกเบี้ยสหรัฐฯปรับตัวลดลงทำให้กองทุนสร้างกำไรได้อีก

ส่วนหุ้นสหรัฐฯ จากมุมมองเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลงมากกว่าถดถอย ในขณะที่หุ้นเทค โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นเทคขนาดใหญ่ราคาปรับตัวขึ้นมาก จึงมองโอกาสการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กน่าสนใจ แนะนำกองทุนปิดกรุงศรียูเอสอิควิตี้-สะสมมูลค่า (KFUS-A) และกองทุนเปิด เอ เอฟ ยูเอส ไวด์ โมท เฮดจ์ ชนิดสะสม (AFMOAT-HA)

ส่วนตลาดหุ้นต่างประเทศตอนนี้กลับมามองตลาดหุ้นจีน ทั้งตลาด A-Share และ H-Share ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการของรัฐบาลจีนที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากสัญญาณทางเทคนิคตลาดหุ้นจีนมีอัพไซด์ 12-15% จากราคาที่ถูกทำให้ตลาดหุ้นรีบาวด์ได้ แต่การลงทุนอาจต้องดูเป็นช่วงๆ จากมาตรการรัฐที่กระตุ้น สำหรับคนที่มีเงินลงทุนในตลาดหุ้นจีนอยู่แล้วอาจเข้าไปลงทุนเพิ่มเพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุนได้

นอกจากนี้ตลาดหุ้นอินเดียและตลาดหุ้นเวียดนามที่ได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศ ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากมุมมองเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงมากกว่าเกิดการถดถอย จึงแนะนำลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็ก ผ่านกองทุนปิดกรุงศรียูเอสอิควิตี้-สะสมมูลค่า (KFUS-A) และกองทุนเปิด เอ เอฟ ยูเอส ไวด์ โมท เฮดจ์ ชนิดสะสม (AFMOAT-HA)

ส่วนตลาดหุ้นไทย ไม่ได้ให้คำน้ำหนักมากนักเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่น่าสนใจกว่าและการลงทุนในหุ้นไทยควรเน้นหุ้นขนาดกลางและเล็ก เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากเงินลงทุนต่างชาติไหลออก โดยกองทุนที่แนะนำ ได้แก่ กองทุนเปิด แอสเซทพลัส สมอล แอนด์ มิด แคป อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า (ASP-SME-A)