บลจ.ธนชาต มองเศรษฐกิจไทยปีหน้าเติบโต 4% คาดกำไรบริษัทจดทะเบียนขยายตัว 9% หนุนดัชนีปีหน้า 1,750 – 1,850 จุด แต่ความผันผวนสูงขึ้นจากปัจจัยต่างประเทศกดดันการลงทุน แนะเล่นรอบล็อคกำไร เน้นหุ้นคุณภาพดี ฐานะการเงินแกร่ง ROE มากกว่า 10% ปันผลเกิน 3%
นายโชติช่วง ธีรขจรโชติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์มหภาค บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2562 คาดว่าจะเติบโต 4% โดยเชื่อว่ายังไม่เข้าสู่ Late-Cycle Growth หรือท้ายวงจรขาขึ้นแบบเศรษฐกิจโลก เพราะไทยยังมีแรงส่งจากดีมานด์ในประเทศ จึงมองตลาดหุ้นยังให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ แต่มีความผันผวนสูงขึ้นจากหลายปัจจัยต่างประเทศ ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจะซื้อและถือระยะยาวอาจไม่เหมาะ เช่นเดียวกับปีนี้ความผันผวนเกิดขึ้นตลอดปี จึงแนะนำให้เล่นรอบ เมื่อราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นควรขายทำกำไรออกมาและรอจังหวะเข้าซื้อหุ้นในช่วงที่ดัชนีปรับตัวลงมา
“ทิศทางเศรษฐกิจโลกในปีหน้ายังขยายตัวต่อเนื่อง แต่เติบโตช้าลง และการเติบโตของสหรัฐ จะยังคงช่วยให้เศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตต่อไปในครึ่งแรกของปี 2561 ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบปัจจุบัน ถือว่ายาวนานที่สุด นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา และคาดว่าจะสามารถขยายตัวต่อไปได้ไม่ต่ำกว่า 2 ปี และคาดว่าภาวะถดถอยในระยะถัดไปคงไม่ได้รุนแรงมากอย่างที่หลายๆ คนกลัว แต่รอบการถดถอยอาจกินเวลานานกว่าปกติ”นายโชติช่วง กล่าว
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปีหน้าผันผวนสูงมาจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าขยายตัวช้าลง ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับคู่ค้า โดยเฉพาะกับจีน นอกจากนั้นนโยบายการเงินในหลายประเทศตึงตัวขึ้น การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ความผันผวนของค่าเงิน และประเด็นการเมืองในสหรัฐฯ ยูโรโซน และกลุ่มโอเปก ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตาต่อไป
นายโชติช่วง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงน่าสนใจกว่าหุ้นต่างประเทศ เพราะในปีหน้าความเสี่ยงของไทยมองว่ามีเรื่องเดียวคือการเมืองหลังการเลือกตั้ง ซึ่งในช่วงเวลานั้นน่าจะมีความผันผวนหรือปรับลดลงอยู่บ้าง แต่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดยังเติบโตได้ต่อเนื่องคาดขยายตัว 9% ซึ่งคาดว่า SET Index ในปีหน้าจะซื้อขายบน P/E ที่ประมาณ 15 – 16 เท่า หรือ ระหว่าง 1,750 – 1,850 จุด แม้ว่า P/E ตลาดหุ้นไทยอาจไม่ได้ต่ำมากเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านปัจจุบันอยู่ที่ 14 เท่า แต่ปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศมีน้อยกว่า อีกทั้งคาดว่าแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติน่าจะน้อยลงกว่าในปีนี้ เพราะขายไปมากแล้ว ซึ่งปีนี้ขายสุทธิกว่า 2.8 แสนล้านบาท
นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้จากค่าเงินบาทที่อ่อนลง เพราะเชื่อว่าในช่วงไตรมาส 1 ปี 2562 ค่าเงินบาทจะแกว่งตัวระหว่าง 32.00 – 33.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยคาดว่ากนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีหน้า อัตรา 0.25%-0.50% เพื่อรักษาสมดุลของเสถียรภาพในระบบการเงินและเพื่อ Policy Space
“กรณีเลวร้ายเรามองดัชนีในปีหน้ามีโอกาสเห็น 1,520 จุด กรณีที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าตลาดคาด หรือสงครามการค้าที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อาจทำให้ตลาดเกิดความกังวล จนเทขายหุ้นออกมา ขณะเดียวกันถอนเงินจากมาตรการ QE ของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันฟันด์โฟลว์ไหลออกจากตลาดเกิดใหมาและไฮยิลด์ บอนด์”นายโชติช่วง กล่าว
ส่วนการลงทุนต่างประเทศ ในปีหน้าบริษัทมองว่า การลงทุนในตลาดเกิดใหม่ในเอเชียน่าสนใจกว่าภูมิภาคอื่นเพราะในปีนี้ ปรับตัวลดลงค่อนข้างแรง แต่เศรษฐกิจและกำไรของบริษัทยังขยายตัวได้ ทำให้ค่า P/E อยู่ที่ 12 เท่าเท่านั้น
นายอำพล โฆษิตภณรณ์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส ฝ่ายตราสารทุน บลจ.ธนชาต กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในปีหน้าซึ่งยังมีความผันผวนสูงจากปัจจัต่างประเทศเป็นหลัก กองทุนจึงเน้นลงทุนบริษัทที่มีงบการเงินดี หนี้ไม่สูงมาก ROE มากกว่า 10% และผลตอบแทนเงินปันผล 3% ขึ้นไป โดยเน้นหุ้นที่เป็น Domestic Play เป็นหลีก เพื่อลดผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทจากปัจจัยภายนอก และคาดว่าจะได้แรงหนุนจากการเลือกตั้งในประเทศ โดยกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มรับเหมา กลุ่มค่าปลีก กลุ่มเฮลธ์แคร์ กลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มขนส่ง
“จากสภาวะความผันผวนในตลาดหุ้นไทย ทำให้กองทุนถือเงินสดในมือมากกว่าภาวะปกติช่วงที่ผ่านมาจะถือ 5-8% ทำให้กองทุนพร้อมซื้อหุ้นเมื่อดัชนีปรับตัวลดลงมา ซึ่งระดับปัจจุบันถือว่าน่าสนใจ และแนะนำให้ทยอยซื้อ LTF และ RMF เพราะแม้เงินใหม่เข้ามา ผู้จัดการกองทุนก็อาจยังไม่ได้ซื้อหุ้นในทันที แต่จะดูจังหวะในการเข้าลงทุนและมองว่าเดือนม.ค.ปีหน้า แรงขาย LTF ของนักลงทุนที่ถือครบอายุตามเงื่อนไขคงยังไม่เทขายออกมาทันที เพราะปีที่ผ่านมาหุ้นไม่ได้ขึ้น อีกทั้งนักลงทุนอาจรอดูทิศทางตลาดก่อนว่าจะไปต่อหรือไม่ ก่อนตัดสินใจขาย”นายอำพล กล่าว
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปีหน้าตั้งเป้าขยายสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เติบโต 10% โดยมาจากธุรกิจกองทุนรวมเป็นหลัก โดยเฉพาะกองทุนหุ้นไทย เช่นเดียวกับปีนี้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนต.ค.2561 มียอดลงทุนสุทธิตั้งแต่ต้นปีในกองทุนหุ้นไทยเกือบ 2 หมื่นล้านบาท ทำให้ตอนนี้ธุรกิจกองทุนรวมมีสินทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 203,470 ล้านบาท ส่วนธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลเพิ่มมาอยู่ที่ 13,734 ล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ที่ 15,972 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทำให้ ณ สิ้นปี 2561 AUM เท่ากับ 2.3 แสนล้านบาท
“ปีนี้บริษัทสามารถสร้างยอดขายกองทุนหุ้นไทยสุทธิอยู่เกือบ 2 หมื่นล้าน ทำให้สัดส่วนสินทรัพย์กองทุนหุ้นของบริษัทปรับตัวจากเกือบ 4 หมื่นล้านในปีที่แล้ว มาเป็นกว่า 5 หมื่นล้านในปีนี้ คิดเป็น 1 ใน 4 ของมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากบริษัทได้เปิดขายกองทุนหุ้นไทยแนวใหม่ T-SmartBeta ได้กว่า 5 พันล้านบาท เนื่องจากเป็นกองทุนที่ค่อนข้างมีความเฉพาะตัว สามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนได้ ทั้งในช่วงที่ตลาดหุ้นมีแนวโน้มปรับตัวลง และปรับตัวขึ้น”นายบุญชัย กล่าว
สำหรับกองทุนที่ได้รับความนิยมสูงสุดของบริษัทในปีนี้ คือ กองทุนหุ้นปันผลอย่าง T-DIV และ T-DIV2 ที่ยอดลงทุนสุทธิทั้ง 2 กองทุนอยู่ที่กว่า 1.3 หมื่นล้าน (31 ต.ค. 61) เนื่องจากเป็นกองทุนที่ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อประมาณเดือนมี.ค.ปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบันสามารถจ่ายปันผลได้กองทุนละ 6 ครั้งแล้ว ซึ่งคาดว่าจะยังคงได้รับความนิยมในปีหน้าเช่นกัน