ทิสโก้ ประเมินเศรษฐกิจโลกปี 2562 น่าเป็นห่วง “ตัวฉุดเยอะ ตัวช่วยน้อย” เศรษฐกิจไทยทำใจ การท่องเที่ยวและการส่งออกอ่อนแรงลง นักท่องเที่ยวจีนมาน้อยเพราะเงินหยวนอ่อนค่า-จีนเลิกแบนทัวร์เกาหลี
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ ทิสโก้ กล่าวในงานสัมมนา TISCO Wealth Investment Forum ว่า ในปี 2562 ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจโลกค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะมี “ตัวฉุดเยอะ แต่ตัวช่วยน้อย”
ตัวฉุดหลักมาจากสงครามการค้า การปรับลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ และแรงกดดันจากการขึ้นภาษีการบริโภคของญี่ปุ่น
1. สงครามการค้า หากสหรัฐฯ และจีนไม่สามารถหาข้อตกลงกันได้จะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกให้ชะลอตัวลงอย่างชัดเจนและกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างเต็มที่ในปีหน้า จากปีนี้ที่ตัวเลขการส่งออกของทั่วโลกน่าจะเติบโตได้ในระดับที่ค่อนข้างดี เพราะผู้ประกอบการเร่งส่งออกสินค้าก่อนที่ผลของการประกาศขึ้นภาษีจะมีผลบังคับใช้
2. แรงส่งจากการปรับลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ คาดว่าจะแผ่วลงในช่วงปลายปีหน้า และจะเป็นปัจจัยฉุดเศรษฐกิจต่อเนื่องไปถึงปี 2563 และ
3. แรงกดดันจากการขึ้นภาษีการบริโภคของญี่ปุ่นในเดือน ต.ค. 2561 อาจทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลกหดตัว
ขณะที่ตัวช่วยมีน้อยลง จากภาครัฐและธนาคารกลางมีเครื่องมือจำกัดที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในกรณีที่เศรษฐกิจชะลอลงแรง หากพิจารณาจากนโยบายการเงิน เช่น นโยบาย QE และนโยบายดอกเบี้ย ที่กำลังถูกถอนออกเรื่อยๆ เนื่องจากเงินเฟ้อเริ่มฟื้นตัว ทำให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเดินหน้าลดงบดุลและขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะหยุด QE ภายในสิ้นปีนี้ และเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส 3 ปีหน้า ทำให้นโยบายการเงินเริ่มตึงตัวขึ้น และสภาพคล่องที่ล้นโลกเริ่มถูกทยอยดึงออกทีละน้อย
ด้านนโยบายการคลัง ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ถือเป็นประเทศใหญ่ประเทศเดียวที่ยังพอมีกระสุนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่สหรัฐฯ กลับนำกระสุนมาใช้อย่างพร่ำเพรื่อ โดยได้ประกาศลดภาษีทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาลงในปีที่แล้ว รวมทั้งผ่านร่างงบประมาณเพิ่มการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ จึงทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวได้อย่างร้อนแรงในปีนี้
“ปกติการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะนี้มักจะทำในช่วงเศรษฐกิจขาลงเท่านั้น ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบันนั้นตรงกันข้าม โดยอัตราการว่างงานสหรัฐฯ ต่ำกว่า 4% ซึ่งต่ำสุดในรอบ 50 ปี การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวดีมาก ดังนั้น การดำเนินนโยบายดังกล่าวจึงกลายเป็นการสร้างภาระหนี้ภาครัฐโดยไม่จำเป็นและยังเป็นข้อจำกัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต” นายคมศร กล่าว
ส่วนญี่ปุ่นและยุโรป การใช้นโยบายการคลัง เช่น การลดภาษีหรือเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐค่อนข้างมีข้อจำกัด เนื่องจากรัฐบาลมีภาระหนี้สูงอยู่แล้ว ขณะที่จีนก็ประสบปัญหาเรื่องภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงเช่นกัน ทำให้เครื่องมือเดิมๆ เช่น การปล่อยกู้และการลงทุนไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป จีนจึงต้องหันไปใช้เครื่องมืออื่น เช่น การลดภาษีและการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เห็นผลช้ากว่า และรัฐบาลก็ลังเลที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ เนื่องจากกลัวปัญหาหนี้ที่จะตามมาในระยะยาว
“ที่ผ่านมาเหมือนวิ่งอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ หรือเวลาที่มีฝันร้ายก็จะมีตัวช่วยมาปลุกให้ตื่น แต่จากนี้ตัวช่วยจะลดลง ทำให้เศรษฐกิจผันผวนมากขึ้น” นายคมศร กล่าว
สำหรับภาพเศรษฐกิจไทยในปี 2562 นายคมศร กล่าวว่า การท่องเที่ยวและการส่งออกที่เคยเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีแนวโน้มอ่อนกำลังลงในปีหน้า โดยการท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบจากการลดลงของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งทิสโก้ประเมินว่าเป็นผลจากค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงแรงในปีนี้ (เงินหยวนอ่อนค่าลงประมาณ 11% นับจากเดือนเม.ย.) ฉะนั้นถ้าในปีหน้าค่าเงินหยวนไม่ฟื้นตัว โอกาสที่จะเห็นนักท่องเที่ยวจีนกลับมาโตดีคงเป็นไปได้ยาก
นอกจากนี้ กรณีที่จีนยกเลิกการห้ามขายแพ็คเกจทัวร์ไปเกาหลีเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ในไตรมาส 2 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปเกาหลีเติบโตสูงถึง 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ดังนั้น เกาหลีจึงน่าจะเป็นคู่แข่งที่สำคัญและทำให้การท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบพอสมควร
ส่วนการส่งออกในปี 2562 น่าจะชะลอตัวลงจากปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีประมาณ 8% โดย 3% จาก 8% มาจากการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมัน ซึ่งถ้าราคาน้ำมัน (Brent) ยังทรงตัวอยู่ที่ 70-80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในปีหน้าการส่งออกสินค้าเหล่านี้น่าจะไม่เติบโต ส่วนอีก 2% มาจากการส่งออกรถยนต์ที่ในปีหน้าจะได้รับผลกระทบจากยอดขายรถยนต์ในออสเตรเลียซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของไทย ติดลบติดต่อกันต่อเนื่องมาหลายเดือน จึงน่าจะทำให้การส่งออกรถยนต์ในปีหน้าไม่ค่อยสดใสนัก ส่วนที่เหลือจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าค่อนข้างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ภาพของเศรษฐกิจที่ดูชะลอลง ประกอบกับข้อจำกัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ น่าจะทำให้ปีหน้าเป็นปีที่ตลาดผันผวนไม่น้อยไปกว่าปีนี้ และการลงทุนยังคงต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง
“แต่สำหรับปีนี้ ภาพรวมทั้งปีจะไม่ได้แย่เหมือนไตรมาส 3 ทั้งปี GDP น่าจะโตได้ 4% เพราะคาดว่าไตรมาส 4 จะกลับมา” นายคมศร กล่าว
อ่านประกอบ
“ทิสโก้” แนะกลยุทธ์ลงทุนสั้นรับตลาดผันผวน ซื้อ พ.ย. – ขาย มี.ค. 62