HoonSmart.com>>”ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์”(LEO)ตั้งเป้าปี 68 รายได้-มาร์จิ้น เติบโต 20% งบลงทุนปกติ 10 ล้านบาท ชูกลยุทธ์ “LEO Go Green” ยกระดับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรอย่างความยั่งยืน เปิดโอกาสทำ M&A กับธุรกิจใหม่ที่ให้กำไรทันที พิจารณาอยู่ 4-5 โครงการ พร้อมเชื่อผลงานปี 68 ดีขึ้นหลังไม่ต้องตั้งสำรองหนี้สูญเหมือนปีที่แล้ว และยังมีรายได้ขนส่งทางรางที่เติบโตดี
นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) เปิดเผยว่า ปี 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้ และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) เติบโต 20% ส่วนงบลงทุนปกติจะอยู่ 10 ล้านบาท ซึ่งหากมีโครงการใหญ่คณะกรรมการบริษัทก็จะพิจารณาเป็นรายโครงการไป ซึ่งในปี 2568 ขณะนี้ยังไม่มีการลงทุนใหญ่ ๆ
“ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้ใช้เงินจากกำไร และการขาย IPO ไปลงทุนหลายโครงการใหญ่แล้ว ปีนี้พยายามสร้างรายได้ เพื่อให้การลงทุนคุ้มค่า นอกจากนี้ บริษัทยังมองโอกาสทำ M&A โดยมีเป้าหมายเป็นธุรกิจใหม่อยู่ แต่ปีที่ผ่านมายังไม่สำเร็จ เพราะผลกระทบเศรษฐกิจ ซึ่งเรามี Cash flow พอจะปฏิบัติงาน หรือลงทุนไม่สูง และเรายังได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากพาร์ทเนอร์ด้วย ซึ่งมี 4-5 โครงการที่พิจารณาอยู่ แต่เราพิจารณาเป็นราย ๆ ไป และบริษัทที่จะเข้าไปลงทุนจะต้องมีกำไรให้ LEO ได้ทันที”
โดยในเดือนม.ค.ยังทำผลงานได้ตามแผนธุรกิจ แม้ว่าไตรมาส 1 มักจะไม่ใช่ช่วงพีคของการส่งออก และนำเข้าสินค้า แต่จะพีคในช่วงไตรมาส 2-3 แต่เชื่อว่าจะทำผลงานไตรมาส 1/68 ได้แนวเดียวกับงวดเดียวกันของปี 67
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO กล่าวว่า บริษัทฯ ยังมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการบริหารจัดการบริษัทให้เป็นไปตามแผน ชูกลยุทธ์ “LEO Go Green” ยกระดับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรอย่างความยั่งยืน
“ปี 2568 เชื่อสถานการณ์จะดีขึ้น เพราะบริษัทไม่ต้องตั้งสำรองหนี้สูญเหมือนปีที่แล้ว และยังได้ผลบวกจากขนส่งทางรางที่เติบโตดีมาตั้งแต่ไตรมาส 3-4 ปี 2567 ด้วย ซึ่งปีนี้คาดว่ารายได้ขนส่งทางรางจะเพิ่มขึ้นหลายร้อยล้าน”
นายเกตติวิทย์ กล่าวว่า ปี 2568 คาดว่า GDP ไทยจะอยู่ที่ 3-3.3% ปัจจัยสนับสนุนในปี 2568 มาจาก 1.การเพิ่มขึ้นของแรงสนับสนุนจากรายจ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบประมาณรายจ่ายเหลื่อมปีประจำปีงบประมาณ 2568 และ 2. การขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนในประเศ แนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน และการขยายตัวต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน
3. การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคท่องเที่ยว ตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มกลับเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้น ประกอบกับแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวไทย และ 4. การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า ตามแรงส่งของการขยายตัวของมูลค่าส่งออกที่อยู่ในเกณฑ์สูง นับตั้งแต่ช่วงครึ่งหลัง่ปี 2567