4 โบรกฯ ตีกรอบหุ้นมี.ค. 1,140-1,270 โฟกัสการเมือง เชียร์ 11 หุ้นเด่น

HoonSmart.com>> หุ้นหลุด 1,200 จุด จนได้ !!!  4 โบรกเกอร์ส่องหุ้นไทยมี.ค.อึมครึม-แกว่งผันผวน หันโฟกัสการเมือง อภิปรายฯกลางเดือน สงครามการค้าถ่วง ธนาคารกลางประชุมคาด ECB ลดดอกเบี้ย เฟดไม่เปลี่ยน จับตาการประชุม 2 สภาของจีน หวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้จะมีกองทุน TESG 2 เพื่อรองรับ LTF แต่ไม่ได้สร้างเม็ดเงินใหม่ ลุ้นมาตรการเพิ่ม พร้อมให้กรอบ 1,140-1,270 จุด เชียร์หุ้น BH, CRC, MTC, CPALL, BDMS, AP, TIDLOR, VGI, KBANK, BA, CPF

ตลาดหุ้นไทยดิ่งไม่หยุด 28 ก.พ. 2568  ดัชนีดิ่งลงแรงหลุด 1,200 จุด จุดต่ำสุดแตะ 1,186.36 จุด ก่อนเด้งขึ้นในช่วงบ่าย ขึ้นไปสูงสุดที่ 1,206.58 จุด และปิดที่ 1,203.72  จุด ร่วงลง -12.01 จุด หรือ -0.99% ด้วยมูลค่าการซื้อขายมากถึง  74,536.25 ล้านบาท หลังจากตลาดหลักทรัพย์ เตือนสตินักลงทุนว่าดัชนีภาคเช้าที่ร่วงลงถึง 20.47 จุด หรือ -1.68% ปิดที่ 1,195.26 จุด เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับดัชนีตลาดหุ้นภูมิภาค เช่น Nikkei ลดลง 3% Hang Seng ลดลง 2.35% และ KOSPI ลดลง 3.27%

สาเหตุหลักมาจากความกังวลเรื่องสงครามการค้าที่อาจจะรุนแรงขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศที่จะเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดา และเม็กซิโก ในวันที่ 4 มี.ค. 2568 และจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% มีผลวันเดียวกัน

นอกจากนี้ ยังมาจากความกังวลว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบจาก MSCI Rebalance ซึ่งมีผลต่อดัชนีราคาหุ้นโดยรวมวันนี้

อย่างไรก็ตามสิ้นวัน นักลงทุนต่างชาติขายหนักหน่วง -4,964.40 ล้านบาท แม้จะมีแรงรับซื้อของสถาบันไทยถึง 3,294.15 ล้านบาท แต่ต้านแรงขายไม่ไหว  รวมทั้งเดือนก.พ.ต่างชาติทิ้งหนัก  -6,667.44 ล้านบาทใกล้เคียงกับจำนวน -6,573.69 ล้านบาท ของสถาบันไทย ส่วนนักลงทุนไทยรับซื้อหลังแอ่น 17,155.70  ล้านบาท  โดยรวม 2 เดือนแรกปีนี้ ต่างชาติทิ้งระเบิด -18,001.72 ล้านบาท สถาบันไทย -7,751.95 ล้านบาท นักลงทุนไทยรับเละ 28,191.35 ล้านบาท

ส่วนแนวโน้มตลาดในเดือนมี.ค. 2568 นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ตลาดพยายามหาจุดสร้างฐานในช่วงรอปัจจัยบวกใหม่เข้ามา ระหว่างทางมีโอกาสผันผวนได้ แม้ Valuation จะไม่แพงแล้ว แต่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนไม่ค่อยมี ซึ่งดัชนีฯคงจะไม่ลงลึกแล้ว แต่แนวต้านเต็มไปหมดที่คนติดหุ้นอยู่ ซึ่งในเดือนมี.ค.นี้ น้ำหนักปัจจัยการเมืองจะมีมากขึ้น จากความเป็นห่วงในเรื่องเสถียรภาพทางการเมือง รัฐบาลจะเหนื่อยมากขึ้น เพราะจะมีการเปิดอภิปรายฯด้วย

ส่วนเรื่องของ LTF ที่จะมาเปลี่ยนเป็นกองทุน TESG 2 หากเปลี่ยนแค่นี้ก็ช่วยลดแรงขายได้ แต่จะไม่สร้างเม็ดเงินใหม่เข้าตลาด ดังนั้นมองว่าควรจะมีมาตรการออกมาสนับสนุนให้มีเม็ดเงินใหม่ไหลเข้าตลาดทุนไทย จะต้องรอดูว่าจะมีมาตรการใหม่เพิ่มเข้ามาเมื่อไร อีกทั้งในเดือนมี.ค.-เม.ย.เป็นช่วงของการขึ้นเครื่องหมาย XD เพื่อจ่ายเงินปันผล ทำให้ตลาดอาจผันผวนได้ นอกจากนี้จะมีการประชุมธนาคารกลางหลายแห่ง  ทั้งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), ธนาคารกลางยุโรป (ECB), ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)

อย่างไรก็ดี ยังมีหุ้นที่น่าลงทุนได้ในเดือนมี.ค.เป็นหุ้นที่อยู่ในโซนล่างและมีพัฒนาการในทางบวก ซึ่งมองเป็นหุ้นในกลุ่ม Domestic Plays ทั้งกลุ่มโรงพยาบาล, ไฟแนนซ์, ค้าปลีก แนะนำหุ้น BH ราคาเป้าหมาย 230 บาท , CRC ราคาเป้าหมาย 40 บาท ไตรมาส 1/2568 คาดว่า SSSG จะเติบโตแรง และ MTC ราคาเป้าหมาย 55 บาท กำไรดี คุณภาพสินทรัพย์ดี และ NPLs ลดลงต่อเนื่อง

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ กล่าวว่า เดือนมี.ค.จะมีการประชุมธนาคารกลางหลายแห่ง  คาดว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การประชุมคาดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ให้ติดตามการส่งสัญญาณ Dot Plot และประมาณการเศรษฐกิจ

เดือนก.พ.ที่ผ่านมาเริ่มหันมามองภาพเศรษฐกิจมากขึ้น ทั้งนโยบายการเก็บภาษีของ”ทรัมป์”ที่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโก และแคนาดา 25% ในเดือนมี.ค. รวมถึงมีแผนจะเก็บจากยุโรปอีก ตลาดจึงปรับตัวลงจากความกลัวเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวมากขึ้น ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากนโยบายการเงิน ซึ่งขณะนี้เริ่มกลัวแล้วเศรษฐกิจอาจได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ถ้ายังไม่ได้รับความช่วยเหลือ หรือการส่งสัญญาณการผ่อนคลายก็อาจจะไปกันใหญ่

“ตลาดสหรัฐความเสี่ยงขาลงมากกว่า Emerging Market (EM) ที่ Valuation อยู่ในโซนล่าง เม็ดเงินมีโอกาสไหลเข้ามาใน EM ซึ่งเห็นจากเม็ดเงินลงทุนจากกลุ่ม Tech สหรัฐฯ ไหลเข้า Tech จีน และมีโอกาสเกิดขึ้นต่อได้”

ส่วนในประเทศให้โฟกัสการเมือง ซึ่งจะมีการเปิดอภิปรายฯในช่วงปลายเดือนมี.ค. และคลังอาจจะออกกอง TESG 2 เพิ่มเข้ามาช่วงกลางเดือน เพื่อรองรับ LTF หุ้นไทยเดือนมี.ค.คาดว่าจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์ หลังจากที่สิ้นสุดการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนแล้ว และ MSCI มีการปรับพอร์ตแล้ว แต่ Sentiment หลักอยู่ที่การเมืองในประเทศ มองกรอบการเคลื่อนไหว 1,150-1,250 จุด

สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนในเดือนมี.ค.เน้นหุ้นธนาคาร เป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่จะลงทุน ก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD เพื่อจ่ายเงินปันผลในเดือนเม.ย. และหลัง XD หุ้นในกลุ่มธนาคารก็จะปรับตัวลง จะต้องออกจากกลุ่มธนาคารไปอยู่กลุ่ม Domestic ที่ไม่ใช่ธนาคารแทน ซึ่งแนะนำ 5 กลุ่มคือ กลุ่มค้าปลีก แนะนำ CPALL ราคาเป้าหมาย 80 บาท, กลุ่มโรงพยาบาล แนะนำ BDMS ราคาเป้าหมาย 34.2 บาท, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เน้นที่อยู่อาศัย แนะนำ AP ราคาเป้าหมาย 12.90 บาท, กลุ่มไฟแนนซ์ แนะนำ TIDLOR ราคาเป้าหมาย 20 บาท และกลุ่มมีเดีย แนะนำ VGI เล็งเข้า SET50 หลังจากที่ GULF ควบรวมกับ INTUCH แล้ว จะหายไป 1 บริษัท ทำให้ VGI มีโอกาสจะเข้ามาแทนได้ตั้งแต่ต้นเม.ย.เลย

น.ส.ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นในเดือนมี.ค.ยังอีมครึมอยู่ มีโอกาสที่จะแกว่งผันผวน ภาพรวมเคลื่อนไหว Sideway ถึง Sideway Down ในกรอบ 1,155-1,240 จุด หลังสิ้นสุดการประกาศงบฯของบริษัทจดทะเบียนแล้ว แต่ก็อาจจะมีการเล่นหุ้นอิงงบฯอยู่ โดยให้น้ำหนักการเมืองในประเทศมากขึ้น จากที่จะมีการเปิดอภิปรายฯ อาจสร้างความผันผวนได้

นอกจากนี้ เดือนมี.ค.จะมีการประชุมธนาคารกลางหลายแห่ง คาด ECB ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย,  เฟดคงอัตราดอกเบี้ย ,  BOJจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีกทั้งจะมีการประชุม 2 สภาในจีน ซึ่งคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

หุ้นที่น่าสนใจลงทุนในเดือนมี.ค.มองเป็นหุ้นในกลุ่มธนาคาร แนะนำ KBANK ราคาเป้าหมาย 166 บาท  จ่ายเงินปันผลดี กลุ่มท่องเที่ยว แนะนำ BA ราคาเป้าหมาย 25 บาท เล่นได้ตามฤดูกาล และได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า กลุ่มอาหาร แนะนำ CPF ราคาเป้าหมาย 29.50 บาท ราคาไก่ขยับขึ้น และได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นเดือนมี.ค.คาดว่าจะยังผันผวนอยู่ แม้ Valuation ถูก แต่ไม่มีปัจจัยกระตุ้น ทำให้ช่วงสั้นตลาดคงจะผันผวน แต่ก็เหมาะลงทุนระยะกลาง-ยาวได้ โดยในเดือนมี.ค.จะมีปัจจัยรบกวนจากการเมืองในประเทศ ส่วนนโยบายด้านภาษีของ”ทรัมป์”ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสหรัฐมีแผนจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโก, แคนาดา, จีน และฝั่งยุโรป ด้วย

นอกจากนี้ ให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งรอบนี้คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายก่อนท่ามกลางความไม่แน่นอนนโยบายของ”ทรัมป์” และติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนในเดือนมี.ค.มองเป็นหุ้นในกลุ่มอาหาร และโรงพยาบาล เนื่องจากมีความเสี่ยงจำกัด พร้อมให้กรอบการเคลื่อนไหวในเดือนมี.ค.มีแนวรับ 1,180-1,200 ถัดไป 1,140-1,150 จุด ส่วนแนวต้าน 1,250-1,270 จุด