HoonSmart.com>>บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ลดน้ำหนักหุ้นไทย ไม่ให้ใส่เงินลงทุนใหม่ แนะวิธีแก้พอร์ตขายหุ้นที่กำไรไม่โต ไม่มีเงินปันผล หาหุ้นที่มีอนาคต เชียร์ 10 หุ้นเด่นใน 4 ธีม เช่น BBL-KTB-KBANK-TTB คาดปีนี้ดอกเบี้ยลด 1ครั้ง เพิ่มปัจจัยเสี่ยง “ผู้บริหารบจ.-การเมือง” เห็นบจ.ปรับตัวครั้งใหญ่จากการเปลี่ยนกฎระเบียบ ปรับกลยุทธ์ธุรกิจ ทรัมป์ 2.0 เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของโลก มองทุกวิกฤตก็มีโอกาสเสมอ
นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง “สงครามการค้า หายนะ หรือโอกาสพลิกชีวิต” เมื่อวันเสาร์ที่ 22 ก.พ. 2568 ว่า โดนัล ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐรอบที่ 2 (ทรัมป์ 2.0) คือจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ จากนโนบายมุ่งเน้น America first และความไม่แน่นอนของนโยบายด้านการขึ้นภาษีนำเข้ามากขึ้น ทำให้ทั่วโลกเกิดความผันผวน โดยในช่วง 1 เดือนหลังทรัมป์กลับมา หุ้นที่บวกได้คือหุ้นสหรัฐ ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นตลอด
ทั้งนี้จะต้องจับตานโยบายขึ้นภาษีต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น รวมถึงต้องจับตาว่าประเทศคู่ค้าอื่นๆ จะตอบโต้สหรัฐอย่างไร แต่ในทุกวิกฤติก็มีโอกาสเสมอ ดังนั้น หากมองถึงโอกาส ช่วงนี้เป็นจังหวะที่จะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ที่ราคาหุ้นไม่แพง เห็นได้จากหลายๆ วิกฤติที่ผ่านมาได้สร้างนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จไปแล้วหลายคน
สำหรับตลาดหุ้นไทย ยังคงลดน้ำหนักการลงทุน ไม่แนะนำให้ใช้เงินลงทุนใหม่ คาดว่าราคาหุ้นหลายตัวจะไม่กลับไปในช่วงก่อนวิกฤตการณ์โควิด เพราะโลกการค้าเปลี่ยนแปลง สินค้าของจีนเข้ามาทุ่มตลาด นักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้ว แนะนำให้เลือกขายหุ้นที่กำไรไม่ดี ไม่มีเงินปันผล สลับไปลงทุนที่มีกำไรเติบโต บริษัทหลายแห่งมีการจ่ายเงินปันผลดี เห็นได้ในช่วงนี้ธนาคารหลายแห่งปรับเพิ่มนโยบายการจ่ายเงินปันผล นอกจากนี้แนะนำให้นักลงทุนจะต้องติดตามพฤติกรรมเจ้าของและผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างใกล้ชิดมากขึ้น หลังจากเห็นเจ้าของมีการขายหุ้นออกมาค่อนข้างมาก
ความไม่แน่นอนของการเมืองไทยเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดหุ้นไทย แม้ว่างบประมาณภาครัฐจะสามารถเบิกจ่ายได้แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการเบิกจ่ายงบประมาณก้อนใหญ่เข้าสู่ระบบ เงินมาช้าการทำงานของรัฐบาลก็ดูเหมือนจะไม่ราบรื่น ขณะที่การเบิกจ่ายงบล่าช้าภาคเอกชนขาดเงินลงทุน หลายบริษัทปรับลดงบลงทุนน้อยลง
“กลยุทธ์ต้องเลือกหุ้นรายตัว แต่ยอมรับว่าในช่วง 1-2 ปีนี้เลือกหุ้นได้ยากมาก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่เยอะ และการขึ้นลงของราคาหุ้นคาดการณ์ยาก ในช่วงปลายเดือนก.พ.-ต้นมี.ค.นี้เป็นเทศกาลจ่ายเงินปันผล จับจังหวะซื้อตอนลง ไม่ควรไล่ราคา ส่วนเป้าหมายดัชนีปีนี้อยู่ที่ 1,440 จุด ”
ส่วนธีมที่น่าลงทุนสำหรับปีนี้มี 4 ธีม ประกอบด้วย
1.อัตราดอกเบี้ยในประเทศลดช้า คาดลงเพียง 1 ครั้งยาวถึงปี 2569 การลงทุนฟื้นตัว หุ้นเด่น มองว่าเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เช่น BBL,KTB,KBANKมTTB
2.ท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่อง และมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวเพิ่มเติม มองหุ้นเด่น ได้แก่กลุ่มโรงแรม และอาหาร ERW,MINT ทั้งนี้หุ้นท่องเที่ยวเล่นได้ครึ่งปีนี้ คาดปีหน้าธุรกิจไม่ค่อยโตแล้ว
3.Chaina+1 & New S-curve หุ้นเด่นเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม AMATA
4.Data Center & Cloud หุ้นเด่นเป็นกลุ่มสื่อสาร โรงไฟฟ้า ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ADVANC,GULF,INTUCH
ขณะเดียวกันบริษัทจดทะเบียนทั้งขนาดใหญ่และเล็ก ได้ปรับแผนธุรกิจ ปรับกลยุทธ์ รวมถึงปรับโครงสร้าง หลายบริษัทลดสัดส่วนความเป็นเจ้าของในบริษัทย่อย ให้มีความคล่องตัวขึ้น ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงมีการใช้เทคโนโลยี Ai เข้ามาใช้มากขึ้น นโยบายทรัมป์ 2.0 เป็นการจัดระเบียบโลกใหม่ ซึ่งผู้ประกอบการต้องปรับตัว ขณะนี้ยังไม่ได้เห็นผลอะไรมาก แต่เชื่อว่าในอีก 6 เดือนนข้างหน้าจะเห็นผลชัดเจนมากยิ่งขึ้น ขณะที่หลายบริษัทเปลี่ยนจากการไล่บี้กันของคู่แข่ง แต่ปัจจุบันเป็นการจับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเติบโตไปด้วยกันแทน
ทางด้านนาย พงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งแล้วดีต่อตลาดหุ้นสหรัฐ ไม่ได้ขึ้นภาษีนำเข้ากับรายประเทศ แต่กลับเปลี่ยนเป็นรายสินค้าถือว่าดี นอกจากนี้การเลื่อนขึ้นภาษีไปมีผล วันที่ 1 เม.ย.นี้ ดังนั้นจะต้องติดตามว่าประเทศจีนจะมีการตอบโต้สหรัฐอย่างไร ส่วนการลงทุนในหุ้นไทยจะต้องศึกษาเจาะลึกรายบริษัท มองแนวรับที่สำคัญของ SET 50 ที่ 1255 1220 1130 ปกติหากลงไปแตะแล้วจะรีบาวด์กลับ หากจะซื้อให้รอแถว 1200 ต้นๆ มีโอกาสเด้งแรง
ส่วนราคาทองที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ หลังกังวลเรื่องสงครามการค้า และการขาดดุของสหรัฐ นักลงทุนจะต้องติดตามปัจจัยพื้นฐานของทองอาจจะเปลี่ยนแปลงไป ปัจจุบันขึ้นไปชนแนวต้านที่ 2,945 ดอลลาร์/ออนซ์ถึง 4 ครั้งแล้วยังไม่ผ่าน จะขึ้นต่อได้จะต้องไปหาแนวต้านหลัก 2,988 เพื่อไปถึง 3,040 ดอลลาร์