HoonSmart.com>>กลุ่มปตท.ลั่นกำไรปี 68 โตขึ้นอย่างมั่นคง ใช้งบลงทุน 2.5 หมื่นล้านบาท จากเป้า 5 ปี 5.5 หมื่นล้านบาท อัพอีบิทดา 30,000 ล้านบาท ในปี 70 มั่นใจกลยุทธ์ใหม่เดินมาถูกทาง มุ่งลงทุนในโครงการที่มีกำไร ดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างสมดุล ช่วยรัฐ เพิ่มเงินปันผล ยันเดินหน้าหาพาร์ทเนอร์ร่วมสร้าง PTTGC-TOP-IRPC ไม่มีแผนควบรวมกิจการ

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. (PTT) แถลงผลการดำเนินงานและกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืนว่า ผลประกอบการในปี 2568 จะต้องดีกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้จำนวน 3.09 ล้านล้านบาท กำไรสุทธิ 90,072 ล้านบาท มาจากธุรกิจ Upstream ของปตท.สผ.เป็นหลัก มีการปรับโครงสร้าง ปรับกลยุทธ์ต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นธุรกิจที่เกี่ยวกับความมั่นคงด้านพลังงาน ควบคู่ไปกับการลดก๊าซเรือนกระจก เพิ่มเงินปันผลหุ้นละ 2.10 บาท อัตราผลตอบแทนประมาณ 6.6% ต่อปี แบ่งจ่ายเงินครึ่งปีหลัง 1.30 บาท ผลตอบแทนประมาณ 4.03% ทั้งนี้การจ่ายเงินปันผลต้องเหมาะสมจะพิจารณาถึงผลตอบแทนด้วยไม่ใช่ดูสัดส่วนการจ่ายจากกำไรเพียงอย่างเดียว และที่ผ่านมาจ่ายสูงกว่านโยบายที่กำหนดไม่ต่ำกว่า 25% มาตลอด
ทั้งนี้กลุ่มปตท.มีความมั่นใจกลยุทธ์ใหม่เดินมาถูกทาง มุ่งธุรกิจที่มีความถนัด ขยายการลงทุนในโครงการที่มีกำไร ทบทวนเลือกหยุดหรือขายธุรกิจที่แข่งขันไม่ได้ ปัจจัยแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างสมดุล อาทิ การสนับสนุนรัฐช่วยสังคมจำนวน 28,000 ล้านบาท กับการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งกลุ่ม นำเทคโนโลยีมาช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ 10,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา การบริหารรายการพิเศษและผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนรวมถึงเงินกู้ได้ดีมีกำไร มีรายการพิเศษจากการขายทรัพย์สินหรือเงินลงทุนออกไป
สำหรับการลงทุน มุ่งโครงการที่สร้างผลกำไรแน่ๆ และมีความเสี่ยงต่ำ ตั้งงบลงทุน 5 ปี (ปี 2568-2572) รวม 5.5 หมื่นล้านบาท โดยในปี 2568 จะใช้งบลงทุนประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท เน้นลงทุนในธุรกิจก๊าซ โครงสร้างพื้นฐาน ลงทุนในธุรกิจเทรดดิ้ง ปีนี้ยังไม่มีแผนลงทุนในธุรกิจใหม่
นายคงกระพันกล่าวว่า ปี 2568 เป็นต้นไป กลุ่มจะเสริมความมั่นคงและเติบโต การเดินหน้าสู่เป้าหมายวางแผน 3 ระยะ ทั้งระยะสั้น กลางและยาว ในส่วนแผนระยะสั้นบริษัทปรับโครงสร้างธุรกิจทั้งกลุ่มขายธุรกิจที่ไม่ทำกำไรออก มีความคืบหน้าตามแผน รวมทั้งเพิ่มมูลค่าต่อยอดโครงการ P1 ไป D1 ตั้งเป้า 3 ปีต่อยอดได้อีก 3,300 ล้านบาท/ปี

กลุ่มปตท.ตั้งเป้ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้น 30,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปีหรือปี 2570 โดยมาจาก PTTจำนวน 10,000 ล้านบาท และบริษัทย่อยรวม 20,000 ล้านบาท ทำได้แน่นอน ปัจจุบันกลุ่มปตท.มีกระแสเงินสดประมาณ 4 แสนล้านบาท โดยมุ่งเน้นปรับโครงสร้างธุรกิจ นำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้เพิ่มกำไร ลดต้นทุน รวมทั้งหาพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาเสริมแกร่ง ข้อดีของพันธมิตรบางธุรกิจมองว่าไม่ดี ก็ชวนกันออกก่อน รวมถึงยังลงทุนด้าน Digital Tranformation ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยลงทุน 2,000 ล้านบาทต่อปีจนถึงปี 2569
” ปี 2568 เราพร้อมเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างความมั่นคง ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง เลือกลงทุนในสิ่งที่ได้กำไรแน่ ๆ และความเสี่ยงต่ำ ระวังการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ที่มีความเสี่ยงสูง จะต้องลงทุนอย่างชาญฉลาดใช้ทรัพย์สินน้อย ได้กำไรและรายได้มาก อาทิ ลงทุนด้านดิจิทัล การ Synergy ด้านผลิตภัณฑ์ และการปรับพอร์ต ต้องดูความคุ้มค่าก่อนการลงทุน” นายคงกระพัน กล่าว

ส่วนแผนระยะกลางจะต้องหาพาร์ทเนอร์เข้ามาช่วย มีการลงทุน LNG Hub เพราะไทยนำเข้าสูง ส่วนแผนระยะยาว ลงทุน CCS เพื่อกลุ่มปตท.เองและขายให้กับบริษัทอื่นๆ ในส่วนการลงทุนโรงงานรถยนต์ EV ที่มีการร่วมทุนกับบริษัทฟ็อกซ์คอนน์ นั้น ปัจจุบันบริษัทให้ฟ็อกซ์คอนน์ เป็นผู้นำในการดำเนินงาน ซึ่ง PTT อาจจะไม่ได้ลดบทบาทไปทั้งหมด แต่เรื่องไหนที่ไม่เชี่ยวชาญก็จะหาพาร์ทเนอร์เข้ามาร่วมลงทุน
สำหรับภาพรวมธุรกิจปี 2568 คาดเศรษฐกิจเติบโต 2.9% เติบโตมากกว่าปีก่อนที่ขยายตัว 2.5% ราคาน้ำมันดิบดูไบลดลง 5% ราคาเคลื่อนไหวในช่วง 71-81 ดอลลาร์/บาร์เรล ธุรกิจของปตท.สผ.ไปได้ดี เพิ่มแหล่งสำรวจ ปริมาณขายเฉลี่ยน่าจะเพิ่มขึ้น ราคาขายเฉลี่ยคาดว่าจะปรับลดลง และ LNG terminal สูงขึ้นและปริมาณขาย ส่วนธุรกิจปิโตรเคมี ยังทรงตัว ๆ ได้รับแรงกดดันมาร์จิ้นแคบ จากอุปทานที่มากเกินความต้องการ ธุรกิจโรงกลั่นกำลังการผลิตลดลงในปีนี้ ปริมาณขายน้ำมันเพิ่มขึ้น บริษัทไทยออยล์ (TOP) จะปิดซ่อมบำรุงตามกำหนด ส่วน GPSC เพิ่มพลังงานสะอาดป้อนบริษัทในกลุ่มปตท.

นายคงกระพัน เปิดเผยถึงกระแสข่าวปตท.จะปรับพอร์ตบริษัทย่อย ประกอบธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น ได้แก่ บริษัทไออาร์พีซี (IRPC), TOP และบริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ด้วยการควบรวมกิจการ โดยยืนยันว่าไม่มีแผนควบรวม แต่อาจเป็นการเข้าใจผิด แค่หาพาร์ทเนอร์พาร์ทเข้ามาร่วม ทำให้ธุรกิจแข็งแรงขึ้น โดยปตท.ยังยืนยันการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
“เรามีการพูดคุยกับพันธมิตรอยู่หลายรายในหลากหลายธุรกิจเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มบริษัท ปัจจุบันมีความก้าวหน้าในทิศทางที่ดี แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้”นายคงกระพัน กล่าว
———————————————————————————————————————————————————–

