ตลท.ชี้หุ้นบวก 15.5 จุดหลังหัก DELTA-AOT ต่างชาติช้อปของถูก 4.6 พันล้านบ.

HoonSmart.com>>นักลงทุนอย่าตื่นตระหนก! หุ้นไทยภาพลวงตา เพิ่มขึ้น 15.5 จุด หากหักแรงกระแทกของ DELTA ต่อ SET  -26.78 จุด  AOT -4.34 จุด รวม -31.12 จุด มีแรงซื้อกระจายหลายกลุ่ม นำโดยครอบครัวปตท.-แบงก์ ต่างชาติพลิกกลับซื้อมากกว่า 4,634.67 ล้านบาท  นักวิเคราะห์ดาหน้าลดเป้ากำไรและราคาเป้าหมายเดลต้าฯ -ท่าอากาศยานไทย ราคาทรุดมากกว่ามูลค่าเหมาะสม แนะนำถือ  ด้าน GDP ไตรมาส 4/67 โต 3.2% ต่ำกว่าตลาดคาดโต 3.7-4.0% ปี 68 โต 2.3-3.3%

วันที่ 17 ก.พ. 2568 หุ้นไทยดิ่งลงต่ำที่สุด -35.30 จุด ก่อนกลับมาปิดที่จุดสูงสุดของวัน -15.62 จุด หรือ -1.23% ดัชนีอยู่ที่  1,256.48 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 56,376.50 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อมากถึง 4,634.67 ล้านบาท สวนทางสถาบันไทยทิ้งหนักกว่า -3,172.66 ล้านบาท รายย่อยขายด้วย -1,846.89 ล้านบาท

ตลาดหุ้นผันผวนสูงมาก เกิดจากหุ้น 2 ตัวคือ บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA  เปิดดิ่งฟลอร์นำตลาดที่ 79.25 บาท ก่อนตีกลับแรง สูงสุด 88.50 บาท และปิดที่ 86.50 บาท ร่วงลง -26.50 บาท  คิดเป็น-23.45% ส่งผลกระทบต่อดัชนี SET -26.78 จุด ส่วนหุ้นบริษัท ท่าอากาศยานไทย (AOT) ร่วงลงไปแตะ 41.50 บาท แรงซื้อไล่ขึ้นไปสูงสุด 47 บาท กลับมาปิดที่ 43.25 บาท-3.75 บาท -7.98% กดดัชนี SET -4.34 จุด อย่างไรก็ตาม มีแรงซื้อกระจายเข้ามาในหลายกลุ่ม นำโดยครอบครัวปตท. และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้ดัชนีฟื้นตัวเร็ว

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET) ฟื้นขึ้นหลังปิดตลาดภาคบ่าย ปิดตลาดที่ระดับ 1,256.48 จุด ลดลง 15.62 จุด หรือ 1.23% จากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านม เนื่องจากราคาหุ้นปรับสูงขึ้นกระจายในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มทรัพยากร เป็นต้น

“หากไม่รวมราคาหุ้น DELTA และ AOT ดัชนี SET บวกกว่า 15 จุด ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาค” ตลาดหลักทรัพย์ระบุ

ทั้งนี้ ในช่วงเปิดตลาดภาคเช้าวันนี้ ดัชนี SET ปรับลดลง -2.5% สาเหตุหลักมาจากการปรับลงของราคาหุ้น DELTA หลังข่าวผลประกอบการที่ลดลงต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และการปรับลดลงของหุ้น AOT เนื่องจากข่าวสัญญาสัมปทาน อย่างไรก็ตามบริษัทได้ชี้แจงเพิ่มเติมมาแล้วเช้าวันนี้

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ วิเคราะห์รอบด้าน และใช้วิจารณญาณในการพิจารณาซื้อขายให้เหมาะสมกับสถานการณ์

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้รับแรงกดดันจากหุ้น DELTA และ AOT สองตัวรวมกันมีผลต่อดัชนีฯราว 30 จุด แสดงว่าหากหักสองตัวนี้ออกไปดัชนีฯจะบวกได้ราว 10 จุด จากแรงหนุนหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล ทั้ง BDMS, BH ลแะหุ้นในกลุ่มพลังงานบางตัว เช่น TOP ปรับตัวขึ้นหลังงบฯไตรมาส 4/67 ออกมาดีกว่าคาด และมีแรงซื้อเข้ามาที่หุ้น GPSC ต่อเนื่องหลังจากที่ติดในการคำนวณของ MSCI อีกทั้งจะมีการประชุมนักวิเคราะห์ฯในเร็ว ๆ นี้ด้วย รวมถึงหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวลงไปมากแล้วด้วย ทั้งนี้ วันนี้หุ้นบิ๊กแคปบวกได้เป็นส่วนใหญ่ แม้แต่หุ้นในกลุ่มธนาคารก็เริ่มมีแรงซื้อเข้ามา

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ ขณะที่ตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้บวกได้เป็นส่วนใหญ่ หลังยอดค้าปลีกสหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาปรับตัวลงไปมาก ผลักดันการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งปี 2568 คาดการณ์เฟดจะปรัรบลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1-2 ครั้ง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) และเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลง สัปดาห์นี้ให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก และกลางสัปดาห์ให้ติดตามรายงานการประชุมเฟดครั้งก่อน รวมถึงช่วงปลายสัปดาห์ติดตามตัวเลข PMI ภาคการผลิต แลบริการ ของสหรัฐฯ และยุโรปที่จะทยอยออกมา

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (18 ก.พ.) ตลาดมีโอกาสฟื้นตัว ถ้าไม่มีปัจจัยลบเข้ามา พร้อมให้แนวรับ 1,240 จุด แนวต้าน 1,270 จุด

ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์มากกว่า 10 แห่ง ปรับลดประมาณการกำไร DELTA ลง และลดราคาเป้าหมาย พร้อมปรับคำแนะนำเป็น ขาย หรือหลีกเลี่ยงการลงทุน  อาทิ บล.เอเซีย พลัส ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2568-2569 ลงเฉลี่ยราว 29% เหลือ 2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% YoY และที่ 2.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% YoY ตามลำดับ มองว่าแนวโน้มค่าใช้จ่ายจะยังสูงขึ้นต่ออีกในปี 2568 หลังจากไตรมาส 4 ที่ผ่านมา มีกำไรสุทธิ 2.2 พันล้านบาท ต่ำกว่าฝ่ายวิจัยและตลาดคาดราว 57-60% เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายพิเศษราว 2.4 พันล้านบาท โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนา กำไรสุทธิรวมปี 2567 อยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% และกำไรปกติอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการของฝ่ายวิจัยราว 15% เพราะมีมาร์จิ้นน้อยกว่าคาด แต่ราคาหุ้นลงมาสะท้อนกำไรที่น่าผิดหวังในปี 2567 แล้ว จึงคงคำแนะนำ “ถือ”

เช่นเดียวกับ AOT โดยนักวิเคราะห์หลายราย แนะนำให้ถือ เนื่องจากราคาหุ้นร่วงต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสมแล้ว และบริษัทชี้แจงตลาดหลักทรัพย์ ว่าจะขยายเวลาชำระเงินให้ผู้มีปัญหาสภาพคล่อง นำโครงการรอเข้าบอร์ด

สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ไตรมาส 4/67 ขยายตัว 3.2% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 3.0% ในไตรมาส 3/67 จากตลาดคาดโต 3.7-4.0% ส่วนปี 2568  คาดเติบโต 2.3-3.3% จับตาปัจจัยเสี่ยงสหรัฐ-หนี้ครัวเรือน-ภาคเกษตร