HoonSmart.com>>>DBS ประเมินนโยบายทรัมป์จุดชนวน “เกมเปลี่ยน” ครั้งใหญ่ แนะถือทอง คาดทะลุ 3300 เหรียญ เก็บหุ้นกู้อายุ 2-3 ปี และ 7-10 ปี ยีลด์ 2.9%-5.9% ตลาดสหรัฐยีลด์ดีสุดจัดเต็ม 73% ของพอร์ต ด้านหุ้นไทยไซส์ยังเล็กคาดสิ้นปี 1,500 จุด ชอบหุ้นแบงก์-นิคมฯ-ค้าปลีก ราคายังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง การท่องเที่ยวหนุน
นายเวย์ ฟุก โหว (Mr. Wey Fook Hou) Chief Investment Office, DBS Bank กล่าวว่า การเข้ารับตำแหน่งในวาระที่สองของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ที่มีอำอาจเต็มที่ในการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดการลงทุน และสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกมีความผันผวนสูง เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ต
ทั้งนี้ แนะใช้กลยุทธ์บาร์เบล (Barbell Strategy) ที่แบ่งพอร์ตเป็น 2 ส่วนหลัก
1. สินทรัพย์เสี่ยงสูง (High Beta Sectors): ลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลดีจากนโยบายของทรัมป์ เช่น กลุ่มเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน
2. สินทรัพย์ปลอดภัย (Defensive Assets): ป้องกันความเสี่ยงจากนโยบายทรัมป์ ด้วยการลงทุนในพันธบัตรและทองคำ
ทั้งนี้ แนะถือทองคำ 6%-7% ของพอร์ต เพราะเชื่อว่าราคาทองคำจะไปถึง 3,300 เหรียญต่อออนส์ มีอัพไซด์ 10% จากปัจจุบัน
จากธนาคารกลางทั่วโลกทำการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นทุนสำรอง ปัจจุบันมีการถือเพิ่มเป็น 15% จาก 10% ซึ่งอดีตเคยถือมากสุดที่ 19% และคิดว่าจะซื้อต่อไป จากการที่สหรัฐฯทำงบขาดดุล และอาจเกิดการทำ QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ขณะที่ ความเสี่ยงที่เกิดจากภาษีการค้าและเฟดยังไม่ลดอัตราดอกเบี้ยลงแรงตลาดคาดว่าจะยืดออกไปอีก 2-3 ปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ราวๆ 3% ส่งผลดีต่อหุ้นกู้
แนะนำให้ถือพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้อายุ 1-3 ปี ที่ยังได้ยีลด์ 2.9% และระยะยาวอายุ 7-10 ปี โดยอายุ 10 ปีได้ผลตอบแทน 4.4% และอินเวสเม้นท์เกรดบอนด์อายุ 10 ปีได้ถึง 6% จะช่วยป้องกันความเสี่ยงขาลง หากความตึงเครียดทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้นโดยผลตอบแทนจากพันธบัตรในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ
สำหรับ การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูง (High Beta Sectors) ยังคงน้ำหนักในหุ้นสหรัฐฯ “Overweight” มีการลงทุนสูงถึง 73% ของพอร์ต จากเดิม 45% เพราะเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในโลก จากนโยบายการลดภาษีจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรของบริษัทต่างๆ และจะนำมาซึ่งการควบรวมกิจการ(M&A) ส่วนตลาดหุ้นจีนลงทุน 3% ญี่ปุ่น 5%
ภายใต้ตีม I.D.E.A. companies ได้แก่ Innovators, Disruptors, Enablers, Adapters โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เชื่อว่ายังมีศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว และมีค่าเบต้าสูงถึง 1.4 เท่าของตลาดหุ้นโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การเติบโตภายในประเทศที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น มีการลงทุนในโครงสร้างของ AI อย่างต่อเนื่อง การขยายตัวของธุรกิจอวกาศ และมีการดึงคนจากทั่วโลกเข้ามาลงทุนด้านนวัตกรรมอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ เน้นการเลือกหุ้นคุณภาพและคุณค่าสูง ที่มี ROE เติบโตต่อเนื่อง มีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอและปันผลออกมาอย่างสม่ำเสมอ หนี้สินต่อทุนต่ำ เป็นบริษัทที่มีเครือข่ายและมีระบบนิเวศของตัวเอง มีนวัตกรรมของตัวเอง ทำให้คู่แข่งเข้ามาได้ยาก มีลิขสิทธิ์ สินค้ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นผู้นำในตลาด มีความได้เปรียบด้านต้นทุน
นอกจากนี้ ยังแนะนำลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด (Semi-liquid Asset) ที่ยังมีราคาถูก เพื่อการบริหารสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ปัจจุบันผลตอบแทนยังดี ช่วยลดความผันผวนของพอร์ต
รวมถึง การลงทุนในธุรกิจกีฬาที่ไม่ใช่แค่เกม ปัจจุบันให้ผลตอบแทนอยู่ 4% เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพสูง มีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากสงครามการค้าและการขึ้นภาษี
ทั้งในกลุ่มสตรีมมิ่ง อีสปอร์ต และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งสามารถสร้างโอกาสในการเติบโตที่แข็งแกร่ง และยังเติบโตอย่างรวดเร็วในส่วนของการขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬา โดยมูลค่าเฟรนส์ไชน์เติบโตเฉลี่ยปีละ 11.8% ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา
มีจำนวนผู้ชมเพิ่มขึ้นจากแพลตฟอร์มดิจิทัลและสตรีมมิ่ง ทำให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องโตตามไปด้วย ทั้งธุรกิจขายตั๋วและจัดอีเวนต์กีฬา (Ticketing & Event Management) ธุรกิจเกมกีฬา (Sports Gaming & Betting) รวมถึงการเดิมพันกีฬาออนไลน์ที่ถูกกฎหมายในหลายประเทศ
กลุ่มกองทุน REITs สิงคโปร์ ที่ปัจจุบันให้ผลตอบแทน 5.9% ต่อปี สูงกว่าผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสิงคโปรถึง 3% ราคาต่อมูลค่าทางบัญชียังต่ำ
น.ส.โจแอนน์ โกะ (Ms. Joanne Goh) – Senior Investment Strategist, DBS Bank กล่าวว่า สำหรับ ตลาดหุ้นไทยมีความเป็นไปได้ที่ SET Index จะไปถึง 1,500 จุด แต่ด้วยขนาดยังเล็กจึงไม่ได้ลงทุนมาก โดยหุ้นที่ชอบ คือ กลุ่มธนาคาร ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้เกิดการบริโภคในประเทศสูงขึ้น ทำให้แบงก์ปันผลดี รวมถึงธนาคารสิงคโปร์ก็ปันผลดีถึง 5% เชื่อว่าทิศทางนี้จะยังคงดีต่อไป
กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์จากนโยบาย China+1 ในรูปของการลงทุนทางตรง กลุ่มค้าปลีก ร้านอาหาร ที่จะได้ประโยชน์จากการกลับมาของนักท่องเที่ยว
นอกจากนี้ ราคาหุ้นไทยและหุ้นในเอเชียยังมีมูลค่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน และราคาต่ำกว่าตลาดที่พัฒนาแล้ว 34%
นายเอ็ดวิน ตัน (Mr. Edwin Tan) Market Head DBS, Thailand & Philippines, DBS Bank กล่าวว่า ธุรกิจไพรเวทแบงก์ของ DBS ในประเทศไทย เดือนกันยายนปีที่ผ่านมา มีการวางเป้าหมายการเติบโต AUM ที่ 1 แสนล้านบาทภายในปี 2569 โดย ณ เดือนธันวาคม 2567 AUM ได้เติบโตเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 35% นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะเพิ่มจำนวน Relationship Managers (RM) เป็นสองเท่า ซึ่งปัจจุบัน ได้เพิ่มขึ้นแล้วกว่า 20%
อุตสาหกรรมบริหารความมั่งคั่งของประเทศไทยที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความต้องการด้านการวางแผนความมั่งคั่ง (Wealth Planning), การกระจายการลงทุน (Investment Diversification) และการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ (International Banking) เพิ่มสูงขึ้น
ในขณะเดียวกัน การแข่งขันในตลาดไพรเวทแบงก์ก็ทวีความเข้มข้นขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อลูกค้า DBS มีความพร้อมเป็นอย่างยิ่งในการให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าผู้ลงทุนรายใหญ่ (HNW) และรายใหญ่พิเศษ (UHNW) ผ่านบริการ “One-Stop” ด้วยข้อเสนอบริการแบบครบวงจรทั้งในประเทศ และต่างประเทศเป็นรายแรกในตลาด ซึ่งได้มอบประสบการณ์การทำธุรกรรมที่ไร้รอยต่อระหว่างบัญชีในประเทศและต่างประเทศผ่านจุดให้บริการเดียว