“เอชเอสบีซี” คาดจีดีพีไทยปี’68 โต 3.3% ชี้ 4 อุตสาหกรรมส่งออกโอกาสสูง

HoonSmart.com>>เอชเอสบีซี มองไทยดีคาดจีดีพีปี’68 โต 3.3% ผลจากนักท่องเที่ยวจีนไหลกลับ ดิจิทัลวอลเล็ต การลงทุนโครงการขนาดใหญ่รัฐหนุน แนะเร่งลงทุนในจุดแข็งไทยกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า บริการด้านการแพทย์ สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเกษตรมูลค่าสูง มีศักยภาพสูงในการแข่งขันในตลาดโลกรับสังคมสูงวัย

นายเฟรดเดอริค นอยแมนน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และหัวหน้าฝ่ายวิจัย ประจำภูมิภาคเอเชีย ธนาคารเอชเอสบีซี คาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพีไทย ปี 2568 อยู่ที่ 3.3% สูงขึ้นจากปี 2567 ที่คาดว่าจะโต 2.7% มาจาก 3 ปัจจัย คือ นักท่องเที่ยวจีนจะกลับเข้ามามากขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จะทำให้กำลังซื้อในประเทศเพิ่มขึ้นและมีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนแรก และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ ประกอบกับธนาคารแห่งประเทศไทยยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดอัตราดอกเบี้ย

อย่างไรก็ตาม ผลจากหนี้ครัวเรือนของไทยยังสูงจะทำให้กำลังการบริโภคภายในประเทศชะลอตัวต่อไปอีกราว 2-3 ปีข้างหน้า โดยปี 2569 คาดว่าจีดีพี จะอยู่ที่ 2.7% การจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตต้องเร่งลงทุนในสินค้าที่มีความได้เปรียบด้านการส่งออกเป็นหลัก เพราะไทยมีความได้เปรียบด้านต้นทุน และค่าแรงที่ต่ำ เมื่อเทียบกับมาเลเซีย โดยเฉพาะในสินค้าที่ไทยมีความได้เปรียบด้านการบริการ การท่องเที่ยว การแพทย์การดูแลด้านสุขภาพ สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าเกษตร ที่จะต้องเน้นผลิตสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูง เพื่อจับกลุ่มลูกค้าสูงวัยในตลาดโลก ที่ต้องการสินค้าออแกนิคส์เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่มาเลเซียจะมีความได้เปรียบด้านธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และเวียดนามจะเก่งเรื่องอุตสาหกรรมสิ่งทอ

สำหรับผลกระทบจากจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศสหรัฐอเมริกาของ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งเรื่องการลดภาษีนิติบุคคล การขึ้นภาษีทางการค้ากับประเทศที่ได้ดุลการค้า นโยบายการดึงแรงงานกลับประเทศลดจำนวนแรงงานต่างด้าว และธนาคารกลางสหรัฐฯหรือ เฟด ยังไม่ลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้เงินเฟ้อสูงและค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมากเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ รวมถึงค่าเงินบาท

ด้านผลกระทบจากการที่จีนถูกสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้า 10% จะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนประมาณ 0.2%-0.3% ถือว่าไม่มาก เพราะจีนมีการผลิตเพื่อป้อนคนในชาติเป็นหลัก มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ 2.5% เท่านั้น จากมูลค่าการส่งออกทั้งหมด 12.5% และอาจจะทำให้สหรัฐฯหันมานำเข้าสินค้าจากไทยมากขึ้น โดยคาดว่าจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยราว 0.1%

ขณะที่ ไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการถูกขึ้นภาษีนำเข้า เพราะมีการได้ดุลการค้าสูงอยู่อันดับต้นๆ โดยมีมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ราว 5% ของจีดีพี ต้องรอดูว่าจะถูกขึ้นภาษีในการประกาศรอบต่อไปหรือไม่ ถ้ามีการขึ้นภาษีจริง จำเป็นต้องบริหารจัดการความเสี่ยงในภาคการส่งออก

อย่างไรก็ตาม ไทยควรอาศัยโอกาสในการใช้เงินลงทุนทางตรงจากจีน ที่เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะก่อให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องที่เป็นซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงอุตสาหกรรมการให้บริการ ด้านการแพทย์ ด้านการดูแลสุขภาพ สินค้าเกษตรพื้นฐาน และสินค้าเกษตรมูลค่าสูง รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจของไทยใน 2-3 ปีข้างหน้าได้ และในระยะสั้นจะได้ประโยชย์จากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า ทำให้ค่าเงินบาทอ่อน ส่งผลดีต่อการส่งออกของไทย

ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจจีน จะชะลอตัวต่อไปอีก 2-3 ปีข้างหน้า จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปจีน แต่ก็ยังมีโอกาสจากสังคมสูงวัยของจีน ที่มีความต้องการการดูแลด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งไทยมีจุดแข็งด้านเฮลท์แคร์อยู่แล้วในการเข้าไปทำตลาดกลุ่มนี้

ขณะเดียวกัน หากไทยสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป ไทยมีโอกาสที่จะเข้าถึงตลาดได้อีกมากถึง 27 ประเทศ และยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจในการมาลงทุนในประเทศไทย ไทยจึงควรใช้โอกาสนี้ในการผลักดันอุตสาหกรรมที่ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขัน อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ จากการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานในภาคการผลิต

นอกจากนั้น ประเทศในสหภาพยุโรปยังมีความต้องการสินค้าและบริการด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์แปรรูป ผลิตภัณฑ์เกษตรมูลค่าสูง สินค้าอุปโภคบริโภค และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ซึ่งถือเป็นโอกาสของประเทศไทยเช่นกัน