บลจ.กสิกรไทยผนึก “เจพี มอร์แกน” รุก “กองทุนผสม” เป้า 3 ปีแตะ 1 แสนลบ.

HoonSmart.com>> “บลจ.กสิกรไทย” (KAsset) ผนึกบลจ.ท็อประดับโลก “เจ.พี. มอร์แกน” (JPMAM) สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์-บริการ นวัตกรรมด้านการลงทุน คัดเลือก-จัดสรรสินทรัพย์ทั่วโลก จัดพอร์ตลงทุน ตอบโจทย์ทุกสภาวะตลาด พร้อมสร้างความเข้าใจเชิงลึกให้ผู้ลงทุนเพื่อลดความผันผวนพอร์ต จากการลงทุนผสมหลายสินทรัพย์ (Multi Asset) ผ่าน “กองทุนผสม” ตั้งเป้ามูลค่าแตะ 1 แสนล้านบาท ภายใน 3 ปี

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ธนาคารกสิกรไทยให้ความสำคัญกับธุรกิจการบริหารจัดการกองทุนเป็นอย่างมาก ซึ่งธนาคารมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการสร้างรากฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งให้กับลูกค้า โดยปัจจุบันธนาคารมีลูกค้าที่มีการลงทุนในกองทุนรวมเกือบ 1 ล้านราย (ณ วันที่ 25 ธ.ค. 66) และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ดังนั้น ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง KAsset และ JPMAM ตั้งแต่การบริหารจัดการไปจนถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ตรงความต้องการของลูกค้าธนาคารกสิกรไทย จะช่วยยกระดับประสบการณ์การลงทุนของลูกค้าได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับความมุ่งหมายของธนาคารในการส่งมอบผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้แก่นักลงทุนไทย อีกทั้งยังเป็นก้าวสำคัญที่จะผลักดันให้ KAsset เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ

นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ลงทุนไทยประมาณ 60% กำลังเผชิญปัญหาพอร์ตการลงทุนมีความผันผวน (ที่มา: บลจ.กสิกรไทย ณ วันที่ 25 ธ.ค. 66)  โดยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ตลาดได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และวิกฤตเศรษฐกิจโลก ปัจจัยเหล่านี้ได้นำไปสู่ความผันผวนของตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเมินสถานการณ์ได้ยากยิ่งขึ้น ดังนั้น KAsset จึงมุ่งพัฒนาแผนกลยุทธ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการคัดเลือกและจัดสรรสินทรัพย์ทั่วโลก พร้อมปรับรูปแบบการลงทุนให้สอดรับและทันทุกการเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ KAsset ที่จะทำให้พอร์ตการลงทุนของผู้ลงทุนไทยมีความมั่นคงและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

ปัจจุบันตลาดการลงทุนเฉพาะกองทุนรวมมีเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ เกือบ 30% ของสินทรัพย๋ภายใต้การบริหาร ไม่มีใครสามารถให้คำแนะนำ ดูแลการลงทุนแบบเบ็ดเสร็จในภาพรวมได้อย่างรอบคอบแก่ลูกค้าได้ วันนี้เราเลือกที่จะจับมืและทำธุรกิจแบบร่วมมือ เพื่อให้ความร่วมมือที่เกิดขึ้น สร้างผลประโยชน์ สร้างคำแนะนำและทีมงานแข็งแกร่งให้ลูกค้าได้และเชื่อว่าจะเป็นก้าวย่างพลิกโฉมการทำธุรกิจจัดการลงทุนและการแนะนำการลงทุนในบ้านเรา

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้จะเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทนดี ใน่ช่วงจังหวะเวลาเหมาะสมมานำเสนอลูกค้า ไม่ใช่แค่มีผลิตภัณฑ์ให้ครบให้ลูกค้าเลือก แต่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดเวลานั้นๆ และให้ผลตอบทที่ดีแก่ลูกค้า ออกผลิตภัณ์ฑให้ตรงใจ ชวนลูกค้าวางแผนการลงทุน ตั้งเป้าหมายการลงทุนที่ยั่งยืนไม่ใช่แค่นำเสนอผลิตภัณฑ์อินเทรนด์ใช่วงเวลานั้น ตลาดขึ้นและชวนลูกค้ามาลงทุน แต่จะตั้งต้นที่ลูกค้า เป้าหมายและกระจายความเสี่ยงโดยจะให้คำปรึกษาต่อเนื่อง ไม่ทิ้งลูกค้า แม้ตลาดลงแรงก็ให้คำปรึกษา สร้างทางเลือกให้ถูกต้อง บนการกระจายความเสี่ยงที่เป็นรูปแบบ Core Sattlelite ซึ่งเป็นพอร์ตลงทุนหลัก สร้างความรู้ความเข้าใจให้ลูกค้ามากขึ้น ร่วมกันนำพาลูกค้าทุกกลุ่มก้าวไปสู่ความมั่นคงในชีวิต

“ความร่วมมือกับเจพี มอร์แกนในครั้งนี้มีระยะเวลา 3 ปี ซึ่งหลังจากนั้นจะพิจารณาสัญญากันป็นปีต่อปี ส่วนจะพัฒนาไปถึงขั้นถือหุ้นใน KAsset หรือไม่นั้น ยังไม่ได้มีการคิด ซึ่งตอนนี้เรายึดมั่นตั้งเป้าการนำคุณค่า ความถนัดขีดความสามารถที่จำเป็นต้องมีเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ยั่งยืน มั่นคง ตอบโจทย์ให้ลูกค้าในบ้านเรา วันนี้เราหาหาร์ทเนอร์มาเติมเต็มสร้างโซลูชั่นให้ลูกค้า จุดมุ่งหมายคือประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้ข้อมูลครอบคลุมทั่วโลกจากผู้ชำนาญการทั่วโลก นำข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจ”นายอดิศร กล่าว

ด้านนายสุรเดช เกียรติธนากร​กรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า KAsset ตั้งเป้าหมายเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนผสม ซึ่งเป็นการลงทุน Multi Asset หรือการกระจายลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ให้มีขนาดสินทรัพย์แตะ 1 แสนล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี จากปัจจุบันมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนผสมอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเพียง 1% ของ AUM ทั้งหมดที่ 1.49 ล้านล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้จะนำเสนอกองทุนใหม่ให้แก่นักลงทุน

“จากวิกฤตหลายปีที่ผ่านมา เรามอง Multi Asset จะช่วยให้นักลงทุนอยู่ได้ทุกสภาวะ เพื่อให้การลงทุนต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ทำให้เราเชื่อว่า Multi Asset จะเป็นโซลูชั่นของเรา”นายสุรเดช กล่าว

นางสาวเชอรีน แบน, Chief Executive Officer, Singapore and South East Asia, J.P.Morgan Asset Management กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มไฮเน็ตเวิร์คในไทยเติบโตขึ้นต่อเนื่องทั้งจำนวนคนและเม็ดเงิน อุตสาหกรรมนี้มีเค้กก้อนใหญ่มีโอกาสเติบโตสูงมากในอนาคต อีกทั้งความเข้าใจของนักลงทุนไทยเปิดรับการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น สะท้อนได้จากเม็ดเงินลงทุนที่เติบโตต่อเนื่อง

นายสุรเดช กล่าวเพิ่มว่า ปัจจุบัน AUM ของกสิกรไทย อย่างน้อยเกือบ 50% หรือ 1 ใน 3 มาจากกลุ่มไฮเน็ตเวิร์ต ซึ่งมีการเติบโตต่อเนื่องและเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ ซึ่งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาก็มีการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และมองแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง

นางสาวเชอรีน กล่าวอีกว่า เหตุผลที่เลือกกสิกรไทย เป็นพันธมิตรในครั้งนี้ เนื่องจากมีการทำงานร่วมกันมากกว่า 10 ปี เห็นจุดแข็ง ศักยภาพ แบรนด์ที่แข็งแกร่งและเครือข่ายที่แข็งแรง ซึ่งทั้งสองบริษัทจับมือกันในครั้งนี้ช่วยเสริมต่อจิ๊กซอร์ซึ่งกันและกัน อีกทั้งเจพีมอร์แกนมีการจับมือในหลายประเทศและประสบความสำเร็จ จึงมองภาพที่จะเกิดขึ้นในไทยได้

อย่างไรก็ตามจากวิกฤตโควิด เงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมาส่งผลต่อภาพรวมการลงทุน ซึ่งเรามองว่าการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ มีการบริหารจัดการให้ดีสามารถตอบโจทย์ได้ในปัจจุบันและอนาตคต ซึ่งเราเชี่ยวชาญตรงนี้และเป็นบลจ.แรกของโลกในการลงทุน Multi Asset ที่ตอบโจทย์ทุกสภาวะตลาด และแนะนำลงทุนอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งเป็นการลงทุนที่ช่วยกระจายความเสี่ยและพิ่มโอกาสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วย

ด้านนายแดน วัตกินส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ.พี. มอร์แกน แอสเซท แมเนจเม้นท์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ทีมงานของ JPMAM รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ KAsset ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน เพื่อนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้ลงทุนไทย โดยมองว่าตลาดทุนไทยเป็นตลาดที่มีความคึกคักและเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค อย่างไรก็ดี ความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนทั่วโลกของ JPMAM ทำให้พวกเรามีความพร้อมที่จะนำเสนอโซลูชั่นการลงทุนที่ได้มาตรฐานระดับโลกให้กับผู้ลงทุนไทย และเป็นการเปิดโอกาสในการขยายธุรกิจของ JPMAM ไปทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังจาก 2 บลจ.ชั้นนำด้านการลงทุน โดย JPMAM เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารการลงทุนระดับโลก มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ KAsset เป็นผู้นำตลาดกองทุนรวมของไทย มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการกว่า 1.49 ล้านล้านบาท ที่มีความเข้าใจเชิงลึกต่อสินทรัพย์และสถานการณ์การลงทุนในไทย โดยความร่วมมือนี้จะมุ่งเสริมศักยภาพของ KAsset ให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การให้ข้อมูลเชิงลึกที่เข้าถึงผู้ลงทุนได้ทันสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา และการให้คำปรึกษาอย่างเข้าใจ ตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงิน