HoonSmart.com>>หนึ่งเดือนผ่านไปเข้าสู่เดือนที่ 2 ของปี 2568 ในทุกความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงบีบหัวใจนักลงทุนทั่วโลก กระทบมูลค่าความมั่งคั่งอย่างรุนแรง จึงต้องหาสูตรการจัดพอร์ตที่มีพื้นฐานแน่นกระทบสินทรัพย์ในมือน้อยที่สุด หัวใจจะได้แข็งแรง จัดไม่ดีมีโอกาสช็อก
วันนี้ “หุ้นสมาร์ท”นำสูตรการจัดพอร์ตลงทุนจากงานสัมมนา “ttb investment outlook 2025”มาให้เลือก โดยปี 2568 นี้ ไม่เพียงแต่เราจะต้องกอดหัวใจตัวเองเอาไว้ให้แน่นๆ กับการขยับตัวของทรัมป์ ผู้ฝ่าทุกทฤษฏีการบริหาร ที่ทำเอาเศรษฐกิจโลกเด้งขึ้นเด้งลงดึ๋งดั๋ง จะนำมาซึ่งสงครามการค้าครั้งใหม่ที่ไม่เป็นอีแอบแบบเดิม การลดภาษีนิติบุคคล ยังมีเรื่องอัตราดอกเบี้ยขาลง และการขยายตัวเศรษฐกิจครั้งใหม่หลังอืดๆ ต่อเนื่องมาหลายปี ที่ทาง นายนาวิน อินทรสมบัติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าบริหารการลงทุน ทีเอ็มบีธนชาต เรียกว่าเสาหลักใหม่ทั้ง 5 จะส่งผลดีต่อ”ตลาดหุ้นโลก”มีการปรับตัวขึ้นเป็นปีที่ 3 นำโดยตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว แต่ไม่ราบรื่น ระหว่างทางจะเจอกับความผันผวนมากกว่าปีก่อน
สูตรมือใหม่กับขาเก๋า
การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน (Asset Allocation) เป็นหัวใจสำคัญในการรับมือกับความผันผวนนี้ และเพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนให้เติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว ก็มี 2 ทางเลือก หนึ่ง คือ กองทุน ES-ULTIMATE GA Series สำหรับผู้ลงทุนที่ไม่คุ้นเคยกับการลงทุน รวมถึงไม่มีเวลาติดตามตลาดหุ้นมากนัก สอง แนะนำ ttb Model Portfolio สำหรับผู้ลงทุนที่คุ้นเคยกับการลงทุน ถือว่าเป็นรูปแบบการจัดพอร์ตสำเร็จรูปที่ใช้ได้ทันที
สูตรความต่าง
ถ้า 2 แบบข้างต้นไม่ถูกจริต จะพาไปดูสูตรจัดพอร์ตสำเร็จรูปของ นายวีรวัฒน์ คิรินทร์รัตนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนอมุนดิ (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ กองทุน ES-ULTIMATE GA Series ที่ย้ำว่ามี 3 ความแตกต่างจากกองทุนอื่น ๆ ที่มีอยู่ในตลาด
1. Transparency โปร่งใส เห็นการลงทุนในแต่ละช่วงเวลาว่าลงทุนในสินทรัพย์ไหนบ้าง (Look-Through Portfolio)
2. Diversification กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลก ช่วยลดและควบคุมความผันผวนของพอร์ลงทุนได้ดี
3. Target Return มีการบริหารจัดการเพื่อคว้าผลตอบแทนตามเป้าหมายที่วางไว้ ฉะนั้นจึงมีความยืดหยุ่นในการลงทุนและเน้นลงทุนในต่างประเทศ
ตลาดสหรัฐฯ ปีนี้ต้องหุ้นเทค การเงิน
จากการที่พรรครีพับลิกัน ที่ประธานาธิบดี ทรัมป์ สังกัดอยู่นั้น ได้ครองเสียงข้างมากทั้งสภาบน และสภาล่าง มีพลังในการสนับสนุนการตัดสินใจของประธานาธิบดี ทรัมป์ เต็มที่ น่าจะทำให้การที่จะผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ โดยเฉพาะการลดภาษีนิติบุคคล การลดราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก การลดค่าเช่าในสหรัฐ เพื่อให้ธุรกิจของคนในชาติมีแต้มต่อในการแข่งขัน เพิ่มโอกาสทำกำไรได้มากกว่าคู่แข่ง จะได้รับการยกมือผลักดันอย่างล้นหลาม
ฉะนั้น นายอภิวัฒน์ น้าประทานสุข ผู้บริหารกลยุทธ์การลงทุน ทีเอ็มบีธนชาต เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯจะเป็นผู้นำของการปรับตัวดีขึ้นต่อไปได้อีก เป็นพี่ใหญ่ในการนำตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว Developed Market (DM) เดินหน้าไปต่อได้
จึงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น Information Technology, Communication Services และ Consumer Discretionary รวมทั้งกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเงิน เพราะจะปรับตัวขึ้นได้ดีกว่ากลุ่มอื่น ๆ จากการที่ AI ยังคงเติบโตต่อไป
ถ้าไม่อยากลงทุนเอง จะลงทุนผ่านกองทุนก็ได้ ซึ่งกองทุนที่ครอบคลุมหุ้น 2 กลุ่มข้างต้นในตลาดดังกล่าวก็มี ES-USBLUECHIP และ KT-FINANCE-A ซึ่งเน้นการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวนั่นเอง
นายชัชพล สีวลีพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย ตอกย้ำว่า หุ้นกลุ่มการเงินไม่จำกัดการลงทุนแค่หุ้นกลุ่มธนาคาร (Bank) เท่านั้น แต่ยังรวมถึงบริษัทประกัน, กลุ่มธุรกิจตลาดทุน (Capital Markets) และบริษัทชำระเงินบัตรเครดิต เพราะจะได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อ และยังได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลดภาษีนิติบุคคล รวมถึงปัจจุบันหุ้นกลุ่มการเงิน ก็ยังอยู่ในระดับราคา (Valuation) ที่น่าสนใจ และไม่แพงเมื่อเทียบกับอดีต
สำหรับ กองทุน KT-FINANCE-A จะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Fidelity Funds – Global Financial Services Fund (Class A) (กองทุนหลัก) ที่มีนโยบายที่จะสร้างผลตอบแทนบนเงินลงทุนในระยะยาว จากการลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลก ซึ่งเกี่ยวข้องกับการให้บริการด้านการเงินแก่ผู้บริโภค และภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก
เอเชียเด่นที่อินเดียและเวียดนาม
การขึ้นภาษีการค้าจีน ของประธานาธิบดีทรัมป์ การตอบโต้ของจีน รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ล้วนทำเอาตลาดหุ้นเอเชียเป๋ไปเซมาจนร่วงหมดแรงดูเวียนหัว แต่ก็ยังมีตลาดหุ้นอินเดีย และหุ้นเวียดนาม ที่ได้รับผลกระทบน้อย
นายภูริพัฒน์ ละเอียดธนะกิจ นักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโส ทีเอ็มบีธนชาต ให้เหตุผลว่า เพราะอินเดียพึ่งพิงกำลังซื้อในประเทศเป็นหลัก และมีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ย ส่วนเวียดนาม มีการลงทุนมูลค่ามหาศาลหนุนหลังอยู่มากยังเติบโตไปได้ในระยะยาว แต่ระยะสั้นอาจจะสะดุดบ้างเพราะส่งออกไปสหรัฐฯมาก แถมยังเกินดุลการค้าสูงด้วย
นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) ชี้เป้าเลยว่า อยากลงทุนในหุ้นอินเดียต้องกองทุนเปิด ES-INDAE ที่คัดเฉพาะหุ้นพื้นฐานดี ทุกขนาด Market Cap และสามารถเพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหุ้นขนาดเล็กถึงกลางได้ 15-25% จำกัดการลงทุนในแต่ละอุตสาหกรรมบวกลบไม่เกิน 7.5% เมื่อเทียบกับดัชนีชี้วัด
ไทยต้องหุ้นปันผล
ส่วนตลาดหุ้นไทย ที่เป็นความหวังเดียวในตอนนี้คือ หุ้นปันผล เพราะเศรษฐกิจไม่โต จะดันกำไรบริษัทได้อย่างไร มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐฯก็ให้ผลดีเป็นหย่อมๆ กลุ่มคนส่วนใหญ่ที่เป็นกำลังซื้อหลักก็แบกหนี้กันไม่มีเงินเหลือมาใช้จ่าย แม้แต่เจ้าของบริษัทจดทะเบียน ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ก็ยังเจอสภาพคล่องหดต้องเอาหุ้นไปจำนำ รวมไปถึงการทุจริตคอรัปชั่น ทำเอานักลงทุนรายย่อย รายใหญ่ ขวัญผวา ไม่กล้าเข้ามารับหุ้น
นายกัมปนาท โอมฤก นักกลยุทธ์การลงทุน ทีเอ็มบีธนชาต แนะนำ เลือกหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง โดยดัชนี SETHD มักให้ผลตอบแทนดีกว่าดัชนี SET ในยามที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง และ กำไรต่อหุ้น (EPS) ของ SETHD ก็ยังมีความน่าสนใจมากกว่า
คำแนะนำข้างต้น เป็นหนึ่งในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน เพื่อลดความผันผวนและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร ที่นักลงทุนควรจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับแผนการสร้างความมั่งคั่งของตัวเอง และความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้
โดย วารุณี อินวันนา