“ผู้จัดการกองทุน” มองศก.ไทยฟื้นตัว เปิดโผ 5 กลุ่มหุ้นปี 67

HoonSmart.com>> สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เปิดผลสำรวจ “ผู้ลงทุนสถาบันไทย” มองเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ แต่ยังกังวลเศรษฐกิจโลก คาดทรงตัวหรือถดถอยลงบ้าง ส่วนหุ้นไทยมอง “เป็นกลางค่อนไปในทางบวก” เน้นลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ ชอบกลุ่มพาณิชย์ บริการทางการแพทย์ ท่องเที่ยวสันทนาการ อาหารและเครื่องดื่ม อิเลคทรอนิคส์ ด้านตลาดหุ้นต่างประเทศ สนใจ “สหรัฐฯ-อินเดีย” ชอบ “ตราสารหนี้ระยะยาว” สหรัฐ-ยุโรป

นางชวินดา หาญรัตนกูล ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของสมาชิกบริษัทจัดการลงทุนในช่วงปลายเดือนธ.ค.ที่ผ่านมาต่อมุมมองการลงทุนสำหรับปี 2567 ว่า ทีมผู้จัดการกองทุนไทยเกือบทั้งหมดมีมุมมองเชิงบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป โดยทิศทางของอัตราดอกเบี้ย ระดับของเงินเฟ้อและการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP Growth) จะเป็นปัจจัยบวกที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในประเทศ ขณะที่เสถียรภาพทางการเมืองจะเป็นปัจจัยลบที่อาจฉุดรั้งการลงทุนให้ไม่เติบโตอย่างเต็มศักยภาพได้

นอกจากนั้นเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2567 จะรักษาระดับอยู่อัตราเดิม (อัตราดอกเบี้ยนโยบายเปลี่ยนแปลงล่าสุด ณ 29 พ.ย. 2566 อยู่ที่ 2.5%) หรืออาจมีการปรับลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 2-2.25% ซึ่งเป็นไปเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจในภาพรวมให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ

ส่วนของการจัดน้ำหนักการลงทุนในประเทศนั้น ในภาพรวมทีมผู้จัดการกองทุนมีมุมมองการลงทุนเป็นกลางค่อนไปในทางบวก (Neutral to Overweight) เน้นให้น้ำหนักการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ โดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะปานกลางถึงยาว

ส่วนการลงทุนในตราสารทุนจะมีมุมมองเป็นกลางค่อนไปในทางบวก เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap) เป็นหลัก กลุ่มอุตสาหกรรมในดวงใจ คือ กลุ่มการค้าพาณิชย์ กลุ่มบริการทางการแพทย์ กลุ่มท่องเที่ยวสันทนาการ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มอิเลคทรอนิคส์ตามลำดับ สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกมีมุมมองเป็นกลาง โดยเน้นการลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานเป็นสำคัญ

นอกจากนั้นทีมผู้จัดการกองทุนยังให้ความสำคัญต่อการลงทุนในรูปแบบความยั่งยืน (ESG Investing) โดยสำหรับการลงทุนในประเทศจะเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะที่ให้ความสำคัญต่อปัจจัยด้าน สิ่งแวดล้อม รวมถึงการลงทุนในหุ้นรูปแบบผสมผสาน (ESG Equity Blending) รวมทั้งคาดหวังที่จะออกกองทุนที่เน้นลงทุนเพื่อสร้างความยั่งยืนในต่างประเทศรูปแบบ FIF เพื่อนำเสนอให้แก่ผู้ลงทุนไทยให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจโลกในระยะ 1 ปีข้างหน้านั้น ส่วนใหญ่เชื่อว่าในภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงเช่นเดียวกับการสำรวจมุมมองครั้งก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากอัตราการเติบโตของ GDP ในประเทศเศรษฐกิจหลักที่ส่วนใหญ่ชะลอตัวลง และผลกระทบจากภาวะสงครามอย่างไรก็ตามทางผู้จัดการกองทุนยังเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยจะค่อยๆทยอยลดระดับลงได้ในระยะถัดไปโดยคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.5-4.75% ณ สิ้นปี 2567 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยให้เศรษฐกิจโลกจะปรับตัวได้ดีขึ้นระยะปานกลาง สำหรับการจัดน้ำหนักการลงทุนทั่วโลกยังคงเชื่อว่าผลกระทบของเศรษฐกิจโลกไม่เท่ากันในแต่ละภูมิภาค

ขณะที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) ทีมผู้จัดการกองทุนมีมุมมองเป็นกลางค่อนข้างไปในทางบวก ในขณะที่มีมุมมองเป็นกลางต่อกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) สำหรับประเภทสินทรัพย์เพื่อการลงทุนนั้น ในภาพรวมตราสารหนี้มีความน่าสนใจกว่าสินทรัพย์เสี่ยงอื่น โดยให้น้ำหนักไปที่ตราสารหนี้ระยะยาวของสหรัฐอเมริกาและยุโรป

ส่วนการลงทุนในหุ้นทั่วโลกมีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) โดยกรณีลงทุนจะเน้นลงทุนเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap) ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมากกว่าประเทศตลาดเกิดใหม่เล็กน้อย สำหรับประเทศที่น่าสนใจลงทุนในหุ้น ได้แก่สหรัฐอเมริกาและอินเดีย โดยกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มบริการสื่อสารกลุ่มอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภคทั้งสินค้าพื้นฐานและฟุ่มเฟือย และกลุ่มบริการทางการแพทย์เป็นกลุ่มที่มีความโดดเด่นกว่ากลุ่มอื่น ในส่วนของสินทรัพย์การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกยังคงให้น้ำหนักปานกลางโดยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจ

อนึ่ง การสำรวจมุมมองผู้ลงทุนสถาบันไทยโดย AIMC นั้น มุ่งหวังให้ผลสำรวจนี้เป็นแนวทาง หลักคิดด้านการออมและลงทุน และช่วยให้ภาพรวมในการจัดแบ่งเงินลงทุน เพื่อที่ภาคธุรกิจ ผู้ลงทุน และประชาชนทั่วไปจะได้ประโยชน์ และสามารถสร้างความยั่งยืนผ่านเงินลงทุนของกิจการหรือของตนเองได้ต่อไป