3 โบรกฯเสียงแตกหุ้นก.พ. ต่ำสุด1,270 ลุ้นสูงสุด1,380 เชียร์ 17 หุ้นเด่น

HoonSmart.com>>หุ้นเดือนม.ค. 68 ลงลึกสุดในรอบกว่า 5 เดือน โบรกเกอร์เสียงแตกเดือนก.พ.แกว่งขึ้น-สร้างฐาน-ผันผวน ดัชนีฯมีโอกาสลงต่ำสุด 1,270 ลุ้นขึ้นทดสอบ 1,380 จุด ซื้อเก็งกำไรช่วงสั้น งบฯ-จ่ายเงินปันผลประจำปี เสี่ยงนโยบายภาษี “ทรัมป์” ไม่แน่นอน จับตาประชุมกนง. ได้แรงหนุนมาตรการ E-Receipt  หุ้นเทรดต่ำกว่าบุ๊คมากถึง 58% ของทั้งหมด 926 ตัว เชียร์ BA, MINT, BDMS, BBL, AEONTS, WHA, GULF, PIN, AP, BJC, CRC, KGI, KTB, TASCO, BBKI, KKP, CCET

ตลาดหุ้นไทยปี 2568 ขึ้นไปไหว ดัชนีเดือนม.ค.ร่วงลงถึง 85.71 จุด หรือ -6.12% ดัชนี SET ปิดที่ 1,314.50 จุด เทียบกับวันที่  30 ธ.ค. 2567 ปิดที่  1,400.21 จุด ดัชนีปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนครึ่ง เพราะนักลงทุนต่างชาติทิ้งมากถึง -11,334.28 ล้านบาท สถาบันในประเทศร่วมขายสุทธิ -1,178.26 ล้านบาท สวนทางกับ นักลงทุนไทยซื้อ 11,035.65 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 1,476.89 ล้านบาท โดยเฉพาะวันสุดท้ายของเดือนม.ค. ต่างชาติขายหนักหน่วง-3,164.65 ล้านบาท สถาบันไทยขายตาม  -1,845.04 ล้านบาท  ส่วนนักลงทุนไทยช้อนทั้งหมด 4,735.85 ล้านบาท ทำให้ดัชนีของตลาด ส่วนใหญ่ปิดที่ระดับต่ำสุดของเดือน

ในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ราคาหุ้นใน SET 100  เกือบทั้งหมดลดลง ยกเว้น 14 หุ้น ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธนาคาร ได้แก่ KTB,TTB,SCB, KBANK, BBLและ TISCO ปรับตัวขึ้น รวมถึงหุ้นการเงิน KTC และสื่อสาร TRUE  สำหรับหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด คือ  BCPG +16.22% KTB+ 9.05%และ PTTEP เพิ่มขึ้น 7.14% ในทางกลับกัน หุ้น BSRC ทำนักลงทุนขาดทุนมากที่สุด ราคาดิ่งลึก -32.70% ตามด้วย M-28.46% และ GLOBAL- 28.06%

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นเดือนก.พ. 2568 น.ส.ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัว มีโอกาสผันผวน โดยให้แนวรับ 1,300-1,280 จุด แนวต้าน 1,350-1,375 จุด จากหลายปัจจัยถ่วง หลัก ๆ ยังเป็นเรื่องของการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) งวดไตรมาสที่ 4 และปี 2567  ดังนั้นจึงน่าจะยังมีการเข้ามาเล่นเก็งงบฯหุ้นรายตัว และธีมเด่นยังอยู่ที่การท่องเที่ยว กับการจับจ่ายใช้สอย เพราะมาตราการ E-Receipt ยังดำเนินอยู่ ขณะที่ราคาน้ำมันคาดว่าจะยังปรับตัวลงอยู่ จากที่”ทรัมป์”เรียกร้องให้กลุ่มโอเปกลดราคาน้ำมัน และยังสนับสนุนให้สหรัฐฯผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นด้วย

นอกจากนี้ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ในเดือนก.พ.คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะเป็นผลดีต่อกลุ่มธนาคาร และติดตาม GDP ไตรมาส 4/2567 จากสภาพัฒน์ รวมถึงมุมมองด้านเศรษฐกิจด้วย ส่วนนโยบายด้านภาษีของ”ทรัมป์” ยังมีความไม่แน่นอน  พร้อมสร้างความผันผวนให้กับตลาด และกลุ่มโรงไฟฟ้าก็รอดูเรื่องค่าไฟฟ้าอยู่ แต่เป็นภาพไม่ดีเท่าไร

อย่างไรก็ดี เดือนก.พ.ยังมีหุ้นที่น่าสนใจลงทุนคือ หุ้น BA ราคาเป้าหมาย 27.75 บาท ผลประกอบการปี 2567 คาดว่าจะเติบโตทั้ง QoQ และ YoY ราคาตั๋วบินก็ปรับขึ้นเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันเงินบาทไตรมาส 4 อ่อนกว่าไตรมาส 3 รวมทั้งยังได้แรงหนุนจากมาตรการภาครัฐฯ, MINT ราคาเป้าหมาย 33.75 บาท ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นบวกต่อ MINT ด้วย เพราะมีโรงแรมฝั่งยุโรปด้วย และยังได้ประโยชน์จาก E-Receipt ด้วย

BDMS ราคาเป้าหมาย 33.75 บาท เกาะกระแสท่องเที่ยว และผู้ป่วยในประเทศที่ยังดีอยู่ , BBL ราคาเป้าหมาย 169 บาท ได้ผลบวกจากเฟดไม่ลดดอกเบี้ยเร็ว และงบฯดี การตั้งสำรองฯลดลง, AEONTS ราคาเป้าหมาย 143.50 บาท ราคาหุ้นปรับตัวลงไปมาก มีลุ้นรีบาวด์ และยังได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐในการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยด้วย, WHA ราคาเป้าหมาย  6.70 บาท งบฯปี 2567 คาดว่าจะออกมาดี และยังได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต ล่าสุด Tik Tok จะมา, GULF ราคาเป้าหมาย 65 บาท ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับตัวลง และกระแส Data Center ส่วนค่าไฟฟ้าลดไม่กระทบเท่าไร และหุ้น PIN งบฯปี 2567 ดีอยู่ อัตราผลตอบแทนจากปันผล (Dividend yield) ปี 2567 คาดสูงถึง 12% ราคาหุ้นเทรด P/E ต่ำ และ ROE สูง

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นเดือนก.พ.คงจะแกว่งตัวออกด้านข้างในลักษณะของการสร้างฐาน ทิศทางยังเป็นขาลงอยู่ และมีคนติดหุ้นจำนวนมาก นักลงทุนหลายคนก็เบื่อลงทุนหุ้นไทย หันไปเล่นหุ้นนอกกัน วอลุ่มเทรดในตลาดจึงแห้ง ๆ แต่ก็ยังเล่นเทรดดิ้งกันในกรอบ 1,300-1,380 จุด ส่วน Downside ตลาดจำกัด เนื่องจากปรับตัวลงมาลึกแล้ว จน Valuation ไม่แพง แค่ความเชื่อมั่นยังไม่เกิด

นอกจากนี้ ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารไม่ได้แย่ในปี 2567 ทำให้คาดหวังกลุ่มอื่นงบฯจะออกมาดีด้วย เพราะไตรมาส 4 เป็นช่วง High Season ภาพรวมตลาดจึงน่าจะเล่นล้อไปกับงบฯของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งในเดือนม.ค.-ก.พ.กองทุนมักจะเก็บหุ้นปันผล ส่วนนโยบายภาษีของ”ทรัมป์”ยังมีความไม่แน่นอน ต้องติดตามท่าทีของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ด้วย

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่ม Domestic plays ยังมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะการบริโภค ที่ได้ประโยชน์จากมาตรการ E-Receipt ซึ่งมองกลุ่มค้าปลีกยังน่าสนใจ ซึ่งผลงานดีในไตรมาส 4 แล้วยังดีต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปี 2568 ด้วย โดยแนะนำ”ซื้อ” BBIK ราคาเป้าหมาย 50 บาท  ไตรมาส 4 มีลุ้นทำนิวไฮ ในรายไตรมาส และไตรมาส 1 ปี 2568 ยังมีงานเพิ่มจาก Digital Wallet เฟส 3 ที่จะแจกเงินดิจิทัล ส่วนกลุ่มธนาคารลงทุนได้ เก็บหุ้นปันผล  ธนาคารจะให้ปันผลไม่ต่ำกว่า 4% ต่อปี  และยังเล่นต่ำกว่า Book Value ด้วย แนะนำ KTB ราคาเป้าหมาย 24 บาท ให้รอย่อตัวค่อยเข้าซื้อ, KKP ราคาเป้าหมาย 60 บาท ไตรมาส 4/2567 ยอดขาดทุนจากรถยึดลดลง เห็นถึงโมเมนตัมที่ดีขึ้น และยังให้ปันผลน่าสนใจ

ส่วนกลุ่ม  High Risk High Return มองกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่เป็นเมกะเทรนด์ แนะนำ CCET ราคาเป้าหมาย 10 บาท ปี 2568 มีการเปิดโรงงานใหม่ และเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าที่ให้มาร์จิ้นสูงมากขึ้น ทำคล้าย DELTA ปีนี้จึงเป็นปีที่น่าจับตาสำหรับหุ้นตัวนี้

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยตกต่ำจากกระบวนการ Derate และ Deleverage ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จึงมองใกล้สุกงอม จากการตรวจสอบ PBV ของตลาดหุ้นไทยโดยรวมถืออยู่ในโซนต่ำบนเส้นแนวโน้ม PBV ระยะยาวที่เคยผ่านวิกฤตมาแล้ว 3 ครั้ง คือวิกฤตต้มยำกุ้ง, วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ และวิกฤติโควิด ที่บริเวณ 0.5-0.6 เท่า, 0.8-0.9 เท่า และ 1.1-1.2 เท่า ตามลำดับ นอกจากนี้ ในปัจจุบันมีสัดส่วนหุ้นที่ซื้อขายต่ำกว่า BV (PVB<1 เท่า) จำนวนมากถึง 58% ของหุ้นทั้งหมด 926 ตัว ทั้งใน SET และ mai เทียบกับช่วงวิกฤติ 3 ครั้งก่อนที่สัดส่วนอยู่ที่ 60-70%

ปัจจุบันมูลค่าซื้อขายหุ้นไทยลดลงจากที่ขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เฉลี่ยวันละ 8.8 หมื่นล้านบาทในปี 2564 มาเหลือเพียงเฉลี่ยวันละ 3.7 หมื่นล้านบาท ในเดือนที่แล้วหรือลดลงเกือบ 60% ขณะที่ Turnover Ratio ก็ลดลงเหลือเพียงประมาณ 20% ต้น ๆ ซึ่งเป็นระดับ -1SD จากค่าเฉลี่ยระยะยาว

นอกจากนี้ ตัวชี้วัดสภาพคล่องในตลาดโดยผ่านการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหุ้นหรือการจำนำหุ้นในการค้ำประกันเงินกู้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจากระดับสูงสุดที่มีมูลค่ากว่า 4.14 แสนล้านบาท ลดลงมากกว่า 40% เหลือ 2.44 แสนล้านบาท ในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวแล้ว สะท้อนการ Deleverage ของตลาดไปมากพอสมควรแล้ว ดังนั้นการถูกบังคับขายจากการปรับตัวลงของราคาหุ้นไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างมีนัยสำคัญอย่างที่ผ่านมากแล้ว

เดือนก.พ.ของทุกปีเป็นช่วงฤดูกาลประกาศผลประกอบการและการจ่ายเงินปันผลประจำปี ทำให้มีแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นงบดีและหุ้นปันผลในระยะสั้น จากการศึกษาความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นย้อนหลังตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมาพบว่า SET Index เดือนก.พ.มักจะปรับตัวขึ้นโดยมีระดับความเชื่อมั่นสูงถึง 80% และให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย +1% ขณะที่หุ้นปันผลดีมักปรับตัวในทิศทางดีกว่าตลาดในช่วงเวลาดังกล่าว โดยมีความเป็นไปได้สูงถึง 80% ที่จะ Outperform และให้ผลตอบแทนรวมเฉลี่ยดีกว่า SET Index +1.3%

ดังนั้น ในเชิงกลยุทธ์ให้น้ำหนักกลุ่มที่มีสัญญาณแข็งแกร่งกว่าตลาดในปีนี้ เช่น กลุ่มธนาคาร และกลุ่มค้าปลีก COMM โดยเน้นที่อยู่ใน SETHD Index ที่มีโอกาสชนะตลาดในระยะสั้น – AP, BBL, KTB, TASCO ผสานกับหุ้นอิงการบริโภคในประเทศที่ได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ (E-Receipt-แจกเงินหมื่น-ลดค่าไฟ-ไฮซีซั่นการท่องเที่ยว) และไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบทรัมป์ – BJC, CRC และหุ้นม้ามืดที่อาจถูกหยิบขึ้นมาเก็งกำไรในเดือน ก.พ. จากการจ่ายเงินปันผลที่สูง – KGI เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือน ก.พ. คือ AP, BBL, BJC, CRC, KGI, KTB และ TASCO ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนก.พ.อยู่ที่ 1300, 1270-80 และ 1340, 1365-70 จุด ตามลำดับ