SCC ปี’68 กระแสเงินสดเพิ่มขึ้น ปิโตรฯ ฟื้นเห็นโอกาสจากวิกฤต

HoonSmart.com>>ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) มั่นใจปี 68 สร้างกระแสเงินสดมากกว่าปีก่อนที่ 53,946 ล้านบาท ตั้งงบลงทุน 3-3.5 หมื่นล้านบาท มีเงินเหลือลดหนี้ เดินหน้าสร้างองค์กรให้แข็งแกร่ง ลั่น ! ดูแลผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง รายได้โต 3-5% จากเศรษฐกิจภูมิภาคขยายตัวดี รุกตลาดส่งออกใหม่ สหรัฐไปได้สวย ธุรกิจปิโตรฯ ดีขึ้น จากราคาน้ำมันลดลง สบโอกาสขายผลิตภัณฑ์จากไทยไปทดแทนโรงงานหลายประเทศที่หยุดผลิต โครงการ LSP ลงทุนเพิ่มก๊าซอีเทน คืนทุนเร็วขึ้นเพียง 2 ปีเศษ  

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ เอสซีจี แถลงผลการดำเนินงานปี 2567 ว่า SCG มีอิบิทดา สร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้เป็นที่น่าพอใจอยู่ที่ 53,946 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับปี 2566  และมั่นใจว่าปี 2568 จะทำได้สูงกว่าปี 2567 ที่ผ่านมา พร้อมเดินหน้าตามกลยุทธ์สร้างองค์กรให้แข็งแรงต่อไป ตั้งงบลงทุน 3-3.5 หมื่นล้านบาทในโครงการที่มีผลตอบแทนสูงและเร็ว มีเงินเหลือนำไปชำระหนี้ ลดภาระดอกเบี้ย ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ หยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไรต่อไป

“ปี 2568 จะดีขึ้นกว่าปีก่อนที่เจอหลายปัญหา ทั้งงบลงทุนภาครัฐไม่มา ธุรกิจเคมีภัณฑ์ต่ำสุดในรอบ 20 ปี  และมีการเกิดโครงการใหม่ เป็นเรื่องปกติ ที่จะมีค่าใช้จ่ายค่าเสื่อมราคา ส่งผลต่อกำไร เราเน้นเรื่องความมั่นคงทางการเงินและกระแสเงินสดที่แข็งแรง ซึ่งเรามีสูงมากอยู่ได้สบาย ปีที่ผ่านมานอกจากมีอีบิทดา 53,946 ล้านบาทแล้ว ยังลดเงินทุนหมุนเวียนได้อีก 1 หมื่นล้านบาท นำเงินไปลดหนี้ได้ตั้งเยอะ ยังมีเงินเหลือสำหรับดูแลผู้ถือหุ้นที่อยู่มานาน โดยการจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 5 บาท หรือประมาณ 6,000 ล้านบาท คิดเป็น 95% ของกำไร ไม่ต้องกลัวว่าไม่มีเงินลงทุน  และเราจะดูแลผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง” นายธรรมศักดิ์กล่าว

เอสซีจี พร้อมคว้าโอกาสเศรษฐกิจภูมิภาคฟื้นตัวในปี 2568  โดยเฉพาะเศรษฐกิจเวียดนามคาดเติบโตสูงถึง 8% จากปีที่ผ่านมาขยายตัว 6% ส่วนอินโดนีเซียที่มีประชากร 300 ล้านคน ก็คาดโต 6%  ส่วนในประเทศมีแรงสนับสนุนกำลังซื้อ จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ การเกิดโครงการลงทุนสาธารณูปโภค และการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง รวมถึงการบริโภคภายในกลุ่มอาเซียนที่มีความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น

ส่วนทิศทางเศรษฐกิจที่มีความผันผวนจากนโยบายของ”ทรัมป์” อาจจะส่งผลต่อการค้าทั่วโลก จีนส่งไปสหรัฐไม่ได้ก็มาขายในไทย แต่เอสซีจีกลับมองเป็นโอกาสในการส่งออกไปขายยังสหรัฐ เพราะความต้องการมีอยู่ จึงเร่งทำและขายไปตั้งแต่ปี 2567 ที่ผ่านมา เช่นปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ คาดปีนี้ส่งออกได้อีกประมาณ 1 ล้านตัน   ด้าน เอสซีจี เดคคอร์ ส่งออกกระเบื้อง X- PORCELAIN ความแข็งแรงสูง ได้ผลตอบรับดี ตั้งเป้าการส่งออกเติบโต 2 เท่าในปีนี้ ขณะที่ เอสซีจีพี ส่งออกบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ บรรจุภัณฑ์อาหาร และกระดาษพิมพ์เขียน มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ขณะเดียวกันรุกขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น อเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย

สำหรับบริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGP) จะมีการเปลี่ยนเกมส์เล่น  สามารถรับมือได้กับทุกสถานการณ์ทั้งระยะกลางและระยะยาว  แม้ว่าปี 2567 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีในภูมิภาคมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้นจากกำลังการผลิตใหม่ ๆ ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความต้องการสินค้าอ่อนตัวจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว บริษัทได้เร่งผลักดันนวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และการบริหารจัดการกระแสเงินสด ต้นทุน และเงินทุนหมุนเวียนอย่างระมัดระวัง ทำให้ธุรกิจคงความสามารถในการแข่งขันต่อเนื่อง ขณะที่ปี 2568 วัฏจักรปิโตรเคมีเริ่มทรงตัว มาร์จิ้นเริ่มนิ่ง ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลงส่งผลให้ต้นทุนลดลงตาม  บริษัทคงเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกระแสเงินสดและต้นทุน

อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมปิโตรเคมียังอยู่ในภาวะลำบาก ทำให้โรงงานหลายแห่งหยุดผลิตในปี 2568  เช่น ฟิลิปปินส์จะปิดยาวทั้งประเทศ  รวมถึงเกาหลีและญี่ปุ่น บริษัทจะเร่งนำผลิตภัณฑ์ในไทยส่งออกไปขายแทนในตลาดที่มีโอกาส  และแนวโน้มราคาน้ำมันที่ต่ำลงจะช่วยลดต้นทุนทำให้มาร์จิ้นดีขึ้น รวมถึงโรงงาน ROC ไม่ได้หยุดเหมือนไตรมาสแรกปีก่อน ทำให้โรงงานในประเทศมีกำไรดีขึ้น นอกจากนี้ยังคงคาดหวังเรื่องอสังหาริมทรัพย์ในจีนจะฟื้นตัวจากนโยบายกระตุ้นของรัฐ ซึ่งจะส่งผลบวกต่ออุตสาหกรรมปิโตรเคมี

ส่วนโรงงานปิโตรเคมีในเวียดนาม LSP คงจะหยุดต่อ อย่างน้อยครึ่งปีแรก  แต่ไม่หยุดในการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องในการใช้วัตถุดิบทั้งโพรเพน แนฟทาและก๊าซอีเทนเพื่อสร้างความสมดุล ความคล่องตัวและต้นทุนลดลง ล่าสุด เอสซีจีซี เร่งเดินหน้าโครงการ LSP ด้วยการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทน ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระยะยาว โดยได้ทำสัญญาจัดหาวัตถุดิบก๊าซอีเทนในระยะยาวเป็นผลสำเร็จ ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี เป็นระยะเวลา 15 ปี และเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทนระยะยาวอีก 3 ลำ ทั้งนี้ บริษัทจะเร่งจัดหาเรือในส่วนที่เหลืออีก 2 ลำ พร้อมทั้งสร้างถังเก็บและปรับปรุงโรงงาน ให้พร้อมรับก๊าซอีเทนให้ได้ภายในปี 2570 โดยโครงการนี้ใช้แหล่งเงินทุนภายในเอสซีจี นอกจากนี้การใช้เงินลงทุนประมาณ 500 ล้านเหรียญ จากที่ขอบอร์ด 700 ล้านเหรียญ ทำให้ระยะเวลาคืนทุนเร็วขึ้นเหลือ 2 ปีเศษ ไม่ต้องรอนานกว่า 3-4 ปี

นายธรรมศักดิ์ ย้ำทิ้งท้าย “เอสซีจี ปรับตัวต่อเนื่อง และขยายสู่ตลาดใหม่ ๆ เชื่อมั่น ปี 2568 สามารถบริหารกระแสเงินสดได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมดูแลผู้ถือหุ้นทุกคนได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีส่วนร่วมในการลดฝุ่น PM 2.5 และช่วยเหลือ SME หากปล่อยให้ล้มจะใช้เวลานานเป็น 10 ปีกว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ ”

ด้านราคาหุ้น SCC  ปรับตัวขึ้นโดดเด่น สูงสุดที่ 159.50 บาท ก่อนปิดที่ 156.50 บาท + 3 บาท หรือ 1.95% มูลค่าการซื้อขายหนาตา 629.54 ล้านบาท สวนทางตลาดหุ้นโดยรวมที่ปรับตัวลง 7.55 จุด หรือ -0.56% ปิดที่ 1,335.64  จุด เนื่องจากแนวโน้มการดำเนินงานฟื้นตัว และบริษัทยังจะจ่ายเงินปันผลสูงกว่าคาด หลังจากจ่ายระหว่างกาลไปแล้วหุ้นละ 2.50 บาท  และจะจ่ายอีก 2.50 บาท กำหนดวันขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่  2 เม.ย. 2568