KKP กำไรปี 67 หดเหลือ 4,985 ลบ. สินเชื่อชะลอ-ต้นทุนการเงินสูงขึ้น

HoonSmart.com>>ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) รายงานกำไรสุทธิปี 67 ที่ 4,985.07 ล้านบาท ลดลง 8.4% จากปี 66 หลักจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 11% เหตุสินเชื่อชะลอ ขณะที่ต้นทุนการเงินสูงขึ้นตามภาวะดอกเบี้ย ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 7.5% หากเทียบกับปี 2566 พร้อมตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับปี 67 จำนวน 3,974 ล้านบาท ลดลง 34.7% จากปี 66 ตามคุณภาพสินเชื่อที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น ด้านอัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวมยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดีที่ 4.2% ณ สิ้นปี 67

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) รายงานผลประกอบการปี 2567 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 4,985.07 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 5.92 บาท โดยกำไรลดลง 8.4% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิ 5,443.40 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 6.43 บาท หลักจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง 11% จากการชะลอตัวของสินเชื่อตามมาตรการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารที่มุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อไปในประเภทที่มีคุณภาพสูง รวมถึงการปรับเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงินตามภาวะอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวลดลงหากเทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นปรับตัวลดลงตามคุณภาพสินเชื่อที่มีสัญญาณทยอยปรับตัวดีขึ้น จากการมุ่งเน้นบริหารคุณภาพสินทรัพย์มาอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา

ทางด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ธนาคารยังคงสามารถสร้างรายได้ในระดับที่ดี ส่งผลให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น 7.5% หากเทียบกับปี 2566 สำหรับรายได้จากธุรกิจตลาดทุนในส่วนของธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ธุรกิจการจัดการกองทุนปรับเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำและสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เป็นอันดับ ที่ 1 อย่างต่อเนื่อง โดยมีส่วนแบ่งตลาดปี 2567 ที่ 22% นอกจากนี้แล้วธนาคารยังมีรายได้ในส่วนของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นตามภาวะตลาด ในขณะที่รายได้ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะในส่วนของรายได้ค่านายหน้าประกันปรับตัวลดลง ภายใต้มาตรการชะลอการเติบโตสินเชื่อของธนาคาร

ภายใต้ความท้าทายของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธนาคารในปี 2567 ในส่วนของธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อต่อเนื่องจากปี 2566 ธนาคารยังคงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการเร่งบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์และจากมาตรการต่าง ๆ ที่ธนาคารได้ดำเนินการมาเพื่อบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาแล้วนั้น ส่งผลให้ธนาคารเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น โดยผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทยอยปรับตัวลดลง และอยู่ในระดับที่ดีกว่ากรอบคาดการณ์ของธนาคาร ในขณะที่ผลขาดทุนจากการขายรถยึดปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเช่นกันหากเทียบกับปีก่อนหน้า

ทั้งนี้ ธนาคารยังคงความระมัดระวังในการพิจารณาตั้งสำรองเพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น โดยมีการสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับปี 2567 เป็นจำนวน 3,974 ล้านบาท ปรับลดลง 34.7% หากเทียบกับปี 2566 ตามคุณภาพสินเชื่อที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 134.2% ทางด้านอัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวมยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดีที่ 4.2% ณ สิ้นปี 2567