บล.บัวหลวงมองหุ้นมีหวัง 1,600 จุด แนะออกหุ้นกู้สั้น เฟดลดดบ.กลางปี67

HoonSmart.com>>บล.บัวหลวงเปิดกลยุทธ์ลงทุนปี 67 ทุ่มตราสารหนี้ 43% เด่นสุดครึ่งปีแรก ทองคำ 12% หุ้น  45% เป็นหุ้นไทย 7% มีโอกาสฟื้นตามหุ้นทั่วโลก มองเป้าดัชนี 1,600 จุด กำไรบจ.โต 15% เศรษฐกิจขยายตัว 3.8% ค่าเงิน 34.30 บาท น้ำมันดิบแกว่ง 75-85 ดอลลาร์ จังหวะซื้อเก็บไตรมาสแรกรับฟันด์โฟลว์ไหลกลับเอเชีย-ไทย คาดเฟดลดดอกเบี้ยกลางปี  ผลสำรวจผู้จัดการกองทุนมองหุ้นไทยไม่ได้แย่อย่างที่ต่างชาติทิ้งหนัก 2 แสนล้านบาทปีนี้  ชูหุ้นเด่น กลุ่มธนาคาร, การบริโภคภายในประเทศ, ค้าปลีกส่งออกแปรรูป, การท่องเที่ยว,อิเล็กทรอนิกส์,ไฟฟ้า  

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง  เปิดเผยถึงภาพรวมการลงทุนตลอดปี 2566 ที่ผ่านมาว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวแย่กว่าตลาดเอเชีย, ตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นยุโรป ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลงต่ำกว่าก่อนช่วงเกิดโควิด มาจากหลายปัจจัยกดดัน เช่น การปรับลดคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทยลง เนื่องจาก 1.การส่งออกขยายตัวต่ำกว่าคาด 2. จำนวนนักท่องเที่ยวต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้ากว่าคาด 3. การลงทุนภาครัฐหดตัวจากการเปลี่ยนถ่ายรัฐบาลบริหารประเทศ (ไม่รวมสงครามอิสราเอลและฮามาสที่ไม่คาดคิด)

แนวโน้มตลาดหุ้นในเดือนธ.ค.คาดว่าตลาดทั่วโลกจะฟื้นตัวกลับมาบ้าง หลังเริ่มรับรู้ปัจจัยดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ได้ผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว ส่วนหุ้นไทยจะขึ้นไม่มากมองระดับ 1,430 จุด เม็ดเงินจากกองทุนรวม TESG ที่จะเข้าซื้อหุ้นในเดือนธ.ค. ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาด แต่ไม่ได้มากจนมีนัยยะสำคัญ เนื่องจากสามารถลงทุนเพียง 1 แสนบาทเท่านั้นนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

สำหรับมุมมองตลาดหุ้นไทยปี 2567 ทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวง ประเมินว่าน่าจะเห็นการพื้นตัวตลอดทั้งปี เป้าหมายดัชนีระดับ 1,600 จุด คาดว่างบประมาณน่าจะผ่านในช่วงต้นปี การเบิกจ่ายงบจะกลับเข้าสภาวะปกติ เช่น เส้นทางหลวง และรถไฟความเร็วสูง ทำให้หุ้นในช่วงครึ่งปีแรกจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวดีขึ้น จากความคาดหวังการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีความชัดเจนมากขึ้น, ความกังวลต่ออัตราดอกเบี้ยเริ่มน้อยลง, ความกังวลสถานะการตึงตัวของระบบการเงินที่น้อยลง และกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) อาจเติบโตประมาณ 15% ซึ่งจะใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยอัตราเติบโตกำไรของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ส่วนในแง่มูลค่าของตลาดหุ้นไทย ค่า P/E คาดว่าจะซื้อขายระดับ 16.50 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย P/E ระยะยาวของไทย (ปัจจุบันคาดการณ์ค่า P/E ปี 2567 เท่ากับ 14 เท่า) เทียบกับปี 2566 ที่อยู่ 16.40 เท่า

ส่วนการเคลื่อนย้ายเงินลงทุน(ฟันด์โฟลว์) ของนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาในไทย มองว่ายังต้องพึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งจีนเป็นหัวเรือใหญ่ของเศรษฐกิจเอเชียและอาเซียน หากเศรษฐกิจจีนขยายตัวได้ดีขึ้น จากมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ขาดเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น และการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ ต่อจีนน้อยลง ก็จะทำให้เงินไหลเข้าอาเซียนและไทยเพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน แต่หากแนวโน้มเศรษฐกิจจีนยังดูไม่ดีและแย่ลงไปอีก การคาดหวังเม็ดเงินเข้าตลาดหุ้นและตราสารหนี้ไทยเพิ่มมากขึ้นก็จะลำบาก

” หลาย ๆ ปัจจัย หนุนเม็ดเงินต่างชาติอาจกลับเข้ามาไทยได้ไม่ยาก ทั้งเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 3/2566 ออกดีกว่าคาด เริ่มเห็นการอัพเกรดมุมมองของจีนไปในทางบวกมากขึ้น, แซงก์ชั่นของรัฐบาลจีนเริ่มขั้นตอนการเยียวยาผู้ประกอบการอสังหาฯ แล้ว โดยการจัดตั้งกองทุนและออกพันธบัตรเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ในปี 2567, การผลักดันเศรษฐกิจจีนจะมีความต่อเนื่องและมีมาตรการเพิ่มเติม รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัว หลังใช้นโยบายการเงินเข้มงวดมาระดับหนึ่งแล้ว ถ้าเครื่องจักรที่ผลักดันเศรษฐกิจโลกอย่างสหรัฐฯ ที่เป็นเบอร์ 1 และจีนเบอร์ 2 กลับมาขยายตัวอีกครั้ง ภาพที่ต่างชาติมองมาไทย ซึ่งเป็นประเทศที่พึ่งพาส่งออกและสินค้าโภคภัณฑ์จะเป็นเรื่องดีในสายตานักลงทุน”

บล.บัวหลวงคาดว่าจะเห็นเฟดการปรับลดดอกเบี้ยประมาณกลาง 2567  บริษัทที่ต้องการออกหุ้นกู้ เพื่อลงทุน ควรชะลอไปก่อน หันไปใช้สินเชื่อแบงก์แทน หากเลือกได้  สำหรับบริษัทที่จำเป็นต้องออกหุ้นกู้เพื่อไถ่ถอนหุ้นที่ครบอายุ ไม่น่าออกอายุยาว คงไม่เกิน 2-3 ปี  หากล็อกยาว จะมีต้นทุนสูง ภาพของนักลงทุนก็อยากจะลงทุนระยะยาว เพราะดอกเบี้ยสูงในรอบ 20 ปี ดังนั้นกองทุนที่พานักลงทุนไทยไปลงทุนกองทุนระยะยาว ก็จะมีมากขึ้น สะท้อนถึงคนต้องการล็อกผลตอบแทนสูง ก็ยังมีอยู่

นายชัยพร กล่าวต่อว่า ตัวเลขเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะเติบโตประมาณ 3.8% จากปีนี้ที่คาดไว้ 2.7% หากโครงการ Digital Wallet เกิดขึ้น แต่ถ้าโครงการนี้ไม่เกิดเศรษฐกิจไทยก็ยังคงเติบโต 3.2% ส่วนตัวเลขส่งออกคาดว่าจะขยายตัว 3.8% จากปีนี้ที่อาจติดลบ 1.3% ขณะที่การลงทุนภาครัฐและเอกชนทรงตัว หรือน่าจะติดลบเล็กน้อยที่ 0.6%  ส่วนภาคท่องเที่ยวจำนวนนักท่องเที่ยวอาจกลับมาอยู่ระดับ 35 ล้านคนต่อปี แต่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ที่อยู่ 40-41 ล้านคนต่อปี เมื่อเทียบกับปีนี้ที่เข้ามาประมาณ 26-27 ล้านคน ไม่ถึงเป้าหมาย 30 ล้านคน ซึ่งต้องรอดูนโยบายการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติจากภาครัฐบาลและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะค่อย ๆ ลดลง จากระดับสูงสุดในช่วงกลางปี 2566 โดยคาดว่าปีหน้าอัตราเงินเฟ้อไทยจะปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากผลกระทบภัยแล้ง แต่คงไม่แรงและกลับไปสร้างปัญหากับนโยบายการเงิน (เนื่องจากระดับน้ำในเขื่อนมีการจัดเตรียมรองรับได้ดี ผลผลิตจะไม่ตกต่ำ) ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองกรอบเงินเฟ้อไม่เกิน 2% ขณะที่ทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวง มองประมาณ 1% ส่วนอัตราดอกเบี้ยอาจปรับลดลง 1 ครั้ง จากปัจจุบันที่อยู่ 2.5% มาอยู่ที่ 2.25% ในช่วงครึ่งปีหลัง สำหรับค่าเงินบาทในปีนี้มีความผันผวนอีกครั้ง จากต้นปี 34 บาทต่อดอลลาร์ คาดว่าในปี 2567 น่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น มองไว้ที่ 34.30 บาท จาก 2 ปีที่ผ่านมาที่ผันผวนผิดปกติตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ย

ปัจจัยที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ คือ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีอยู่ทั้งกรณีรัสเซีย และยูเครนรวมถึงความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งตอนนี้สถานการณ์สงครามใน 2 พื้นที่อยู่ในขอบเขตจำกัด ส่วนราคาน้ำมันตอนนี้ ความต้องการในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกยังอ่อนแอเทียบกับกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่ม OPEC และนอก OPEC ที่ยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินที่สามารถรองรับการเติบโตของด้านการบริโภคไปได้ถึงปี 2570 ดังนั้นคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบจะแกว่งในกรอบ 75-85 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการกรอบที่สมดุลระหว่างผู้บริโภคและผู้ผลิต

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 2567 แนะนำกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ต่าง ๆ อันดับ 1 คือ ตราสารหนี้สัดส่วน 43% มองเป็นสินทรัพย์ที่ดีที่สุดในครึ่งปีแรก เพราะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่จะเห็นการปรับตัวลดลงทั่วโลกแต่ต้องเป็นตราสารหนี้คุณภาพ เพราะแม้จะเห็นแนวโน้มทิศทางดอกเบี้ยลดลง แต่ไม่ได้ลงเร็ว อันดับ 2 คือ ทองคำสัดส่วน 12% ในขณะที่คนมองเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว ดอกเบี้ยลดลงทั่วโลก ทองคำจะช่วยป้องกันความเสี่ยง อันดับ 3 คือตราสารทุน หรือหุ้น สัดส่วน 45% (หุ้นไทย 7% และหุ้นต่างประเทศ 38%) แต่ต้องรอดอกเบี้ยลดลงระดับหนึ่งก่อน นักลงทุนจึงจะมีความมั่นใจ ขณะที่หุ้นไทยยังดูดี เพราะปีนี้ลงไปมาก โครงสร้างหุ้นไทยเป็นกลุ่มธุรกิจวัฏจักร กำไรอาจดีดกลับได้หนุนให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้หลังตลาดหุ้นอื่นขึ้นไปแล้ว

กลุ่มหุ้นโดดเด่นในปี 2567  คือ กลุ่มธนาคาร, การบริโภคภายในประเทศ, ค้าปลีกส่งออกแปรรูป, การท่องเที่ยว,อิเล็กทรอนิกส์ ผู้ผลิตไฟฟ้า ส่วนกลุ่มที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน คือ อสังหาริมทรัพย์, วัสดุก่อสร้าง เนื่องจากกำลังซื้อชะลอจากการคุมสินเชื่อ

ส่วนผู้ที่สนใจการลงทุนต่างประเทศ แต่ไม่สะดวกในการโอนเงินไปซื้อลงทุนตรงก็สามารถลงทุนผ่าน DR ในกระดานหุ้นไทยได้ แนะนำ DR ที่ครอบคลุมการลงทุนในเวียดนามอย่าง FUEVFVND01 อ้างอิงกับดัชนี Vietnam Diamond และ E1VFVN3001 อ้างอิงกับดัชนี VN30 (หุ้นชั้นนำ 30 ตัวแรกของเวียดนาม) หรือ DR “HK01” ETF ตัวแรกของฮ่องกงที่มีขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูง DR ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น Tracker Fund of Hong Kong เป็น ETF อ้างอิงดัชนี Hang Seng เรือธงของฮ่องกง และ DR “HKCE01” ETF ที่รวมบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง DR ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น Hang Seng China Enterprises Index ETF ที่มีขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูงเป็นอันดับ 2 ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และลงทุนอ้างอิงดัชนี Hang Seng China Enterprises ที่มีบริษัทจีนชั้นนำจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง จำนวน 50 หลักทรัพย์