FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุนขึ้นสู่เกณฑ์ “ทรงตัว” ชูหุ้นพลังงาน-สาธารณูปโภคแจ๋ว

HoonSmart.com>> สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับขึ้นสู่เกณฑ์ “ทรงตัว” นักลงทุนหวังปัจจัยหนุนจากเงินทุนไหลเข้าและเฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ยส่วนปัจจัยจัยฉุดความเชื่อมั่น กรณี “เศรษฐกิจในประเทศถดถอย-ความขัดแย้งระหว่างประเทศ” ติดตามความผันผวนตลาดการเงินโลก บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ลดลง กองทุน ThaiESG เงินดิจิทัลและจำนวนนักท่องเที่ยว มองหุ้นกลุ่ม “พลังงานและสาธารณูปโภค” น่าสนใจมากสุด ส่วน “เงินทุนและหลักทรัพย์” ไม่น่าสนใจ

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนพ.ย.2566 (สำรวจระหว่างวันที่ 20–30 พ.ย.2566) พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 98.60 ปรับขึ้น 23.8% จากเดือนก่อนหน้าลงมาอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” โดยนักลงทุนมองว่าการไหลเข้าของเงินทุน เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด

รองลงมาคือนโยบายการเงินของ FED ในการหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย และ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ในขณะที่ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ การถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ รองลงมาคือสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และสถานการณ์เศรษฐกิจจีน

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนพ.ย.2566 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

 ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ก.พ.2567) อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (ช่วงค่าดัชนี 80-119) ปรับขึ้น 23.8% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 98.60
 ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” ในขณะที่กลุ่มนักลงทุนสถาบันอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง”
 หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค (ENERG)
 หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ (FIN)
 ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การไหลเข้าของเงินทุน
 ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ

“ผลสำรวจ ณ เดือนพ.ย.2566 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับเพิ่ม 41.0% อยู่ที่ระดับ 92.50 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่ม 16.9% อยู่ที่ระดับ 85.71 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับเพิ่ม 35.7% อยู่ที่ระดับ 135.71 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศปรับเพิ่ม 20.0% อยู่ที่ระดับ 100.00″

SET Index มีความผันผวนตลอดทั้งเดือนพ.ย.2566 จากความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสที่ยังไม่คลี่คลาย ความไม่แน่นอนของธนาคารกลางสหรัฐในการคงหรือขึ้นดอกเบี้ย อีกทั้งความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจจีนโดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการประกาศตัวเลข GDP ของไทยในไตรมาส 3/2566 ออกมาต่ำกว่าคาดโดยขยายตัวเพียง 1.5% ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งขยายตัวอยู่ที่ 1.8% ส่งผลให้ SET Index ณ สิ้นเดือนพ.ย.2566 ปิดที่ 1,380.18 ปรับตัวลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้า ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนพ.ย.2566 อยู่ที่ 45,804 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่องกว่า 21,132 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวมกว่า 192,153 ล้านบาท

ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ ความผันผวนในตลาดการเงินโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์เช่นน้ำมัน และทอง สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส การเร่งใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน และอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศที่ปรับตัวลง ซึ่งอาจส่งผลเชิงบวกต่อเงินทุนที่จะไหลเข้ามายังกลุ่มตลาด emerging market

ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ปัจจัยหนุนตลาดทุนจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดตั้ง กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) ที่คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินให้ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้กว่าหมื่นล้านบาทภายในช่วงเดือนธ.ค.2566 การเร่งอนุมัติร่างงบประมาณปี 2567 เพื่อให้รัฐบาลมีเม็ดเงินมาอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ดียิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนของมาตรการแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาล และสถานการณ์ภาคการท่องเที่ยวในช่วง High season โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่มีแนวโน้มต่ำกว่าคาดการณ์ไว้