6 โบรกฯชี้เป้าดัชนี 1,520-1,660 เชียร์ 28 หุ้นเด่นปี’ 68

HoonSmart.com>>6 โบรกเกอร์ส่องหุ้นไทยปี’ 68 ไม่ค่อยดี ห่วงเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากนโยบาย”ทรัมป์” แบงก์เข้มปล่อยสินเชื่อ ฝากความหวังแรงขับเคลื่อนหลักจากรัฐ  ส่องเป้าดัชนี SET อยู่ในช่วง 1,520-1,660 จุด บน P/E 16-17.3 เท่า กำไรต่อหุ้น 92-96.7 บาท   เชียร์หุ้น AOT,HMPRO, MTC,TRUE,AMATA,GULF,CK, KTB,KBANK,BBL, BJC, BTS, IVL, ADVANC, BH, SAWAD, JMT, CRC,WHA, CCET, OSP, TASCO, TIDLOR, PR9,BDMS, BEM, SIRI, TTB

ตลาดหุ้นไทยปิดติดลบ 2 ปีซ้อน ล่าสุดปี 2567 ดัชนีหุ้นตลาดหลักทรัพย์ (SET) ปิดที่ 1,400.21 จุด ลดลง 15.64 จุด หรือ -1.1% จากปี 2566 ที่ดัชนี SET ปิดที่ 1,415.85 จุด ดิ่งลงแรง 252.81  จุด คิดเป็น -15.15% เกิดจากนักลงทุนต่างชาติทิ้งหุ้นไทยอย่างหนักหน่วงรวม ทั้งสิ้น 340,023 ล้านบาท เริ่มจากปี 2566 จำนวน -192,083 ล้านบาท และต่อเนื่องในปี 2567 อีก -147,940.15 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนบุคคลไทยซื้อมากที่สุด 99,069.31 ล้านบาท และสถาบันไทยซื้อสุทธิ 48,855.39 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐมีการเสนอขายหน่วยลงทุน กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ประเภทก.ให้กับประชาชนทั่วไป และสนับสนุนการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน Thai ESG นำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้

ส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capital) ในปี 2567 (30 ธ.ค.) อยู่ที่ 17,433,753.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,108.74 ล้านบาท หรือ +0.02% จากปี 2566 (ธ.ค.) ที่มีมูลค่า17,430.644.71 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2568  น.ส.ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า  ยังมีลุ้นฟื้นตัวขึ้นได้ตามแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติคาดเติบโต 2.9% จากการบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาครัฐ รวมถึงการส่งออกที่ขยายตัวได้ ซึ่งภาคการท่องเที่ยวจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก นอกจากนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะทยอยออกมา รวมถึงงบประมาณด้านการลงทุนในปี 2568 เพิ่มกว่า 30% จากปี 2567 ซึ่งน่าจะได้เห็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น

นอกจากนี้ หุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับ AI และ Data Center จะหนุนตลาดหุ้นได้ด้วย

อย่างไรก็ดี ตลาดยังมีความไม่แน่นอนจากนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่  โดยเฉพาะเรื่องสงครามการค้า  กระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศคงจะรบกวนเป็นระยะ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในปี 2568 คาดว่าจะปรับลดเพียง 1 ครั้งในช่วงไตรมาส 2

สำหรับเป้าหมายดัชนี SET ปี 2568 ตั้งไว้ที่ 1,540 จุด คิดเป็น P/E 16 เท่า กำไรต่อหุ้น (EPS) คาดไว้ 96 บาท ธีมหลักที่น่าสนใจลงทุนเน้นท่องเที่ยว, การจับจ่ายใช้สอย, Data Center, การย้ายฐานการผลิต และการลงทุนของภาครัฐ โดยแนะนำหุ้น AOT,HMPRO,MTC,TRUE, AMATA,GULF, CK, KTB

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี กล่าวว่า ในปี 2568 ตลาดหุ้นยังมีโอกาสที่จะได้เห็นภาพบวกในครึ่งปีแรก จากปัจจัยในประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตดี 2.9% เป็นปีที่การลงทุนภาครัฐ และเอกชนขยายตัวพร้อม ๆ กัน แต่ครึ่งปีหลัง  ตลาดยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนนโยบายด้านภาษีของ”ทรัมป์” ซึ่งยังต้องประเมินสถานการณ์ต่อไป

ทั้งนี้ เป้าหมายดัชนี SET ปี 2568 มองไว้ที่ 1,660 จุด คิด P/E 17.3 เท่า กำไรต่อหุ้น (EPS) 95 บาท ธีมการลงทุนเน้นการเติบโตเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก ดังนั้นจีงแนะนำหุ้น KBANK,BBL,HMPRO, BJC, AOT, BTS, IVL,TRUE,ADVANC ส่วนหุ้นที่อิงปัจจัยจากนอกประเทศคงจะต้องค่อย ๆ ดูในแต่ละ Sector  ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจส่งออก ธุรกิจพลังงาน แม้ Valuation จะถูกแต่ทิศทางการทำกำไรจะดีขึ้นเมื่อไร

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ในปี 2568 หุ้นยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นได้อยู่ แม้อาจเห็นผันผวน ระหว่างทาง จากนโยบายของ”ทรัมป์”หลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ จะมีความรุนแรงแค่ไหน ถ้าทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นต่อ ตลาดเอเชียก็จะเหนื่อย ส่วนในประเทศ ภาครัฐต้องพยายามเร่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้มากกว่านี้ เพราะปี 2567 ฐานต่ำทั้ง GDP และการเติบโตของดัชนีหุ้นฯ ท่ามกลางความเสี่ยงการปรับอัตราดอกเบี้ยที่ตลาดรับรู้ไประดับหนึ่งแล้ว

“ปี 2568 ตั้งเป้าดัชนี SET ไว้ที่ 1,600 จุด บน P/E 16.5 เท่า กำไรต่อหุ้น (EPS) 96 บาท”

ดังนั้นหุ้นในกลุ่ม Domestic จะน่าสนใจลงทุน เพราะตลาดโลกยังผันผวน แนะนำหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล ที่เทรด P/E แค่ 20 เท่า ในอดีตซื้อขายที่ 30 เท่า ซึ่งปี 2568 ควรปลดล็อกได้แล้ว ส่วนกลุ่มไฟแนนซ์น่าจะดีขึ้นหลังรัฐบาลให้การช่วยเหลือ หลังปี 2567 โดนเรื่องอัตราดอกเบี้ย และคุณภาพสินทรัพย์ไปมาก กลุ่มการบริโภค และค้าปลีก ก็น่าสนใจ ส่วนกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แม้ว่าจะซื้อขายกันโซนบนแล้วยังน่าสนใจ เพราะได้แรงหนุนจากประเด็นการย้ายฐานการผลิต และธุรกิจเทคโนโลยีบูมอยู่ พร้อมแนะนำหุ้น BH (Valuation น่าสนใจ) SAWAD, JMT, HMPRO (SSSG จะเป็นบวกได้ในไตรมาส 4/2567 และหุ้นลงลึกมากพอควร) CRC (ตัวเลือกที่ดี ได้ประโยชน์จาก Easy E-Receipt) AMATA, WHA และ CCET (ปี 2568 จะเพิ่มโรงงาน และเปลี่ยนกำลังการผลิตทำสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง)

นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ เพราะเศรษฐกิจยังไม่ดี คาดเติบโต 2.8-2.9% ธนาคารยังเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ยังมองมี Downside การเข้าถึงสินเชื่อของคนในประเทศทำได้ยาก

“คนเป็นหนี้เยอะ คนมีเงินก็ไม่ใช้ เพราะไม่เชื่อมั่นเศรษฐกิจ ต่อให้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมา คนในประเทศเข้าถึงสินเชื่อได้ยาก เพราะธนาคารกลางเข้มงวดปล่อยกู้ จีงยังมองเป็น Downside ต่อตลาด”

ขณะที่ปัจจัยนอกประเทศใน 6 เดือนแรกปี 2568 คาดหวังสหรัฐฯจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลัง”ทรัมป์”เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยไตรมาสแรก ตลาดน่าจะยังได้แรงกระตุ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ และยังเป็นช่วง High Season ของกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ด้วย แต่หลังไตรมาสแรกไปแล้วมองเศรษฐกิจสหรัฐปี 2568 จะเติบโตในอัตราที่ลดลง คาดว่า GDP สหรัฐ และจีนยังมี Downside ดังนั้นเศรษฐกิจโลกปี 2568 จะยังไม่ดี

สำหรับเป้าหมายดัชนี SET ปี 2568 มองไว้ที่ 1,540 จุด คิด P/E ที่ 16 เท่า กำไรต่อหุ้น (EPS) 96.7 บาท หุ้นที่แนะนำลงทุนได้  คือหุ้น BCP ราคาเป้าหมาย 45 บาท จากค่าการกลั่นดี และไม่มีประเด็นลบ, IVL ราคาเป้าหมาย 38 บาท จากสเปรดฟื้นทั้ง PET, PTA นอกจากนี้กลุ่มท่องเที่ยวยังเล่นได้ในไตรมาส 1  แนะนำ AOT ราคาเป้าหมาย 62 บาท และ MINT ราคาเป้าหมาย 33 บาท

ขณะที่นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ภาพตลาดหุ้นในปี 2568 มองว่ายังไม่ดีไม่ต่างไปจากปี 2567 จากเศรษฐกิจซึม คาดเติบโต 2.4% การส่งออก และการท่องเที่ยว มี Downside  สินเชื่อของธนาคารยังชะลอการเติบโต ด้าน กนง.คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง ราคาน้ำมันคาดจะปรับตัวลงเกือบ 10 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล  มองหุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคาร ไม่น่าสนใจ ยังมองภาพลบอยู่ จึงให้เป้าหมายดัชนี SET  ไว้ที่ 1,520 จุด คิดเป็น P/E 16 เท่า กำไรต่อหุ้น (EPS) 95 บาท  หุ้นที่แนะนำให้ลงทุนได้แก่ OSP,TASCO,TIDLOR,PR9

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปี 2568 มองไม่ดี ความไม่แน่นอนสูงจากนโยบายของ”ทรัมป์” ทำให้ Upside จำกัด ขณะที่ปัจจัยขับเคลื่อนมีน้อย จีงมองเป้าดัชนี SET ไว้ที่ 1,550 จุด คิด P/E ราว 16 เท่า กำไรต่อหุ้น (EPS) 92 บาท  เน้นลงทุนหุ้นที่มีความปลอดภัย แนะนำหุ้นปันผล และหุ้น Defensive แนะหุ้น BDMS,BEM,ADVANC,SIRI,TTB