รัฐ-เอกชน สนใจเมกะเทรนด์ ESG บอนด์ ระดมทุนปรับธุรกิจลดคาร์บอน

HoonSmar.com>>ภาครัฐ-ภาคเอกชน สนใจเมกะเทรนด์ ESG บอนด์ร่วมงานสัมมนา  “Enable ESG Bond Issuance # 2: Global Dynamic & Thailand Framework Development” คึกคักกว่า 300 คน เพื่อเตรียมความพร้อมในการใช้เป็นทางเลือกระดมทุนปรับธุรกิจลดคาร์บอนด์ ด้าน ADB ชี้แนวโน้มการระดมทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ธุรกิจสีเขียวขยายตัวแรง 

นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) กล่าวในงานสัมมนา” “Enable ESG Bond Issuance # 2: Global Dynamic & Thailand Framework Development” เมื่อวันที่ 22 พ.ย.2566 จัดโดย ThaiBMA  และกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการให้ทุนสนับสนุนการระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้กลุ่มความยั่งยืน หรือ ESG bond ว่าประเทศต่างๆมีการออกมาตรการควบคุมการเพิ่มของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกไม่ให้เกิน 1.5 – 2 องศาเซลเซียส

เพื่อให้บรรลุความตกลงปารีสในการควบคุมอุณภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 – 2 องศาเซลเซียส คาดว่าทั่วโลกจะต้องใช้เงินลงทุนกว่า 5-7 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปี โดยอุตสาหกรรมการขนส่งจะต้องการระดมทุนมากที่สุด เพื่อนำไปใช้ในการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป และการชดเชยคาร์บอนจากสายการบินระหว่างประเทศ

สำหรับ ESG bond มี 5 กลุ่ม ประกอบด้วย  Green, Social, Sustainability bond, Sustainability-linked Bond (SLB) ตราสารหนี้ที่ใช้เพื่อโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และอีกแบบคือ Transition bond ซึ่ง SLB ในประเทศไทยยังไม่มี ส่วน Transition bond คือบอนด์ที่ออกมาเพื่อนำไปใช้ในการเปลี่ยนผ่านองค์กรไปสู่องค์กรที่ทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่ได้รับความนิยมสูงมากที่ญี่ปุ่น และคิดว่าจะค่อยๆ เกิดขึ้นในไทยด้วย

ในส่วนการเติบโตของการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ ESG bond ในประเทศไทย มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องจนมีมูลค่าคงค้างกว่า 6.9 แสนล้านบาท ประกอบด้วยผู้ออกภาครัฐ 6 องค์กร และภาคเอกชน 25 บริษัท และภาครัฐยังได้ส่งเสริมการจัดตั้งกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) ซึ่งนักลงทุนจะได้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน ซึ่งคาดว่าจะเสนอขายต่อผู้ลงทุนได้ภายในต้นเดือนธันวาคมนี้

น.ส.ชิดชนก อันโนนจารย์ Associate Economics Officer, Asian Development Bank (ADB) กล่าวถึงการเติบโตของตลาดตราสารหนี้ ESG bond ในกลุ่มอาเซียน+3 (อาเซียนรวมกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้)ว่า คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1.4% ของตลาดตราสารหนี้ทั่วโลก โดยภาคเอกชนเป็นหน่วยงานหลักในการออก ESG bond และ Green bond มีสัดส่วนการออกมากที่สุดที่ 51.7% คิดเป็นมูลค่ากว่า 30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ ทาง ADB ยังมีส่วนช่วยสนับสนุนและส่งเสริมผู้ออกตราสารหนี้ทั้งหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนครอบคลุมตราสารหนี้ ESG bond ทุกประเภท และในอนาคตจะให้ความสำคัญกับการดำเนินการด้าน Local verifier, Sustainability disclosures, Transition finance and Sustainability-linked loans

นายสุชาย บูรณะวลาหก Senior Green Investment Officer, Global Green Growth Institute (GGGI) ให้ข้อมูลการดำเนินการขององค์กรในการมีส่วนช่วยสนับสนุนประเทศสมาชิกและหุ้นส่วนในการระดมทุนสีเขียว เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย “การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” (Nationally Determined Contributions : NDCs) และเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจสีเขียว โดยมุ่งสนับสนุนใน 3 ด้าน ได้แก่ Sustainable energy, Sustainable landscapes และ Green cities

สำหรับประเทศไทยให้การสนับสนุนผ่านทางกรอบการวางแผนและพัฒนาของประเทศไทย 2022 – 2026 (Thailand Country Planning Framework : CPF) ซึ่งเน้นการส่งเสริม 3 ด้านคือ Waste management, Green building และ Green Industry ตัวอย่างโครงการที่ดำเนินการสนับสนุน ได้แก่ การจัดการขยะมูลฝอยชุมชน (Municipal Solid Waste : MSW) การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Efficiency : EE) และ Thailand Circular Economy Financing Facility (T-CEFF) เป็นต้น

น.ส.อรศรัณย์ มนุอมร Specialist Consultant, Climate Bonds Initiative (CBI) นำเสนอแนวทางการนำมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (Thailand Taxonomy) ไปใช้เป็นเครื่องมือสำหรับภาครัฐและภาคธนาคารในการส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green finance) โดยปัจจุบันเฟสแรกจะครอบคลุมเฉพาะภาคขนส่งและพลังงานซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกันเกือบ 70% และส่งเสริมการเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน (Transition finance) ของภาคธุรกิจไปสู่ธุรกิจสีเขียว ซึ่งในปัจจุบันตราสารหนี้/เงินกู้ ส่งเสริมความยั่งยืน Sustainability-Linked Bond และ Sustainability-linked loan (SLBs และ SLLs) ที่มีการเชื่อมโยงเป้าหมายความยั่งยืนในระดับองค์กรมีแนวโน้มจะได้รับความนิยมมากขึ้น รวมถึง Transition bond ที่เติบโตมากในจีนและญี่ปุ่น

ปัจจุบันการระดมทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่าน หรือ Transition finance ของภาคธุรกิจไปสู่ธุรกิจสีเขียว และ SLBs เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหนักๆ อย่างธุรกิจเหล็ก การขนส่งทั้งทางอากาศ ทางเรือ และทางบก ปูนซิเมนต์ โดยในเอเชีย ประเทศจีน มีปริมาณการออกมากที่สุด ในขณะที่ยุโรป ประเทศอิตาลี มีมูลค่าการระดมทุนมากที่สุด

“มีการคาดหมายว่าในอนาคตจะมีการกำหนดให้ภาคธุรกิจด้านการผลิต เกษตร การกำจัดของเสีย อาคาร ต้องทำการเปลี่ยนผ่านธุรกิจไปสู่ธุรกิจสีเขียวด้วย เพื่อช่วยกันควบคุมอุณภูมิโลกให้อยู่ในระดับไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส จะทำให้เกิดการระดมทุนด้วยการออก Transition finance เพิ่มขึ้น จะเป็นการส่งเสริมให้ตลาดนี้เติบโตอย่างมาก”น.ส.อรศรัณย์

น.ส.กรรณิการ์ ศรีธัญญลักษณา ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ, บริษัท เดอะ ครีเอจี จำกัด กล่าวถึงมาตรการการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป หรือ EU Carbon Border Adjustment Mechanism (EU-CBAM) ที่จะส่งผลกระทบกับบริษัทที่มีการส่งออกสินค้าไปสู่ประเทศยุโรป ซึ่งในระยะแวลาปลี่ยนผ่านระหว่าง 1 ตุลาคม 2566 ถึง 31 ธันวาคม 2568 ต้องมีการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจะนำเข้าประเทศในแถบยุโรป และระยะเวลาเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป จะต้องมีการจ่ายค่า CBAM certification สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถควบคุมการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ประเทศไทยจึงต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับมาตรการต่างๆที่จะเกิดขึ้นและพลวัตที่เปลี่ยนแปลงไปของโลกในอนาคต

“ถ้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ก็ต้องจ่ายค่า CBAM certification สูง ต้นทุนสินค้าก็สูงขึ้น  ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง และประเทศที่ไม่มีกฎกติกาในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะเกิดการย้ายฐานการผลิตของอุตสาหกรรมต่างๆ ไปยังประเทศที่มีนโยบายชัดเจน ซึ่งมีผลต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย”น.ส.กรรณิการ์ กล่าว

น.ส.พวงพันธ์ ศรีทอง ผู้จัดการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ, องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ให้ข้อมูลเป้าหมายสำคัญของประเทศไทยโดยจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) ภายในปี 2065 รวมทั้งเพิ่มเป้าหมาย NDC เป็น 40% โดยมีมาตรการสําคัญ ได้แก่ การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟ้า อย่างน้อย 68% ในปี ค.ศ. 2040 ร้อยละ 74 ในปี ค.ศ. 2050, การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ร้อยละ 69 ในปี ค.ศ. 2035, ยุติการใช้ถ่านหิน ในปี ค.ศ. 2050, การใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน รวมถึงการใช้พลังงานไฮโดรเจนในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม

อีกทั้งได้กล่าวถึงการเตรียมความพร้อม โดยสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการส่งออก ในด้านการคำนวณ การรายงาน และทวนสอบค่า Embedded Emissions และค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์โดยใช้แพลตฟอร์มของ อบก.เป็นเครื่องมือ ที่ได้รับการยอมรับจากสหภาพยุโรป, และศึกษาแนวทางในการลดค่า Embedded Emissions ของผลิตภัณฑ์ภายใต้ข้อกำหนดของมาตรการปรับคาร์บอนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป

สำหรับ ช่วงการเสวนา “แบ่งปันประสบการณ์การออกและเสนอขายตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน” ผู้บริหารจากภาคเอกชนจำนวน 4 องค์กร ได้ร่วมแบ่งปันแนวทางในการดำเนินการด้านความยั่งยืน และการตัดสินใจในการริเริ่มดำเนินการด้านความยั่งยืนขององค์กร รวมถึงขั้นตอนการระดมทุนด้วยการออกตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืนในทางปฎิบัติจริง จนถึงการออกและเสนอขายให้ประสบความสำเร็จ โดยได้รับเกียรติจาก นางมัณทนา เอื้อกิจขจร รองกรรมการผู้จัดการ งานวางแผนธุรกิจ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ (CKP), นายวสุ กลมเกลี้ยง Executive Vice President ฝ่ายพัฒนากลยุทธ์และวางแผนการลงทุน /รักษาการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (EA), นายสมเกียรติ สุทธิวานิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ผลิตไฟฟ้า (EGCO) และ นายณัฐพรรษ ตันบุญเอก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการออก Green bond

นางอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ได้กล่าวสรุปและอัพเดตถึง “โครงการให้ทุนสนับสนุนและส่งเสริมการออกตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน (ESG Bond Issuance Grant Scheme)” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ThaiBMA และ CMDF โดย CMDF จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบหรือการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ด้านความยั่งยืน (ESG Bond) ตามเกณฑ์ที่กำหนด ได้แก่ เป็น ESG Bond (ไม่จำกัดสกุลเงิน) ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป และระดมทุนขั้นต่ำ 100 ล้านบาทต่อรุ่น โดย CMDF จะให้ทุนสนับสนุนตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกิน 2 ล้านบาทต่อประเภทของ ESG Bond โดยมีวงเงินโครงการรวมทั้งสิ้น 100 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีผู้ออก ESG bond ที่ได้รับทุนสนับสนุนแล้ว 4 องค์กร มูลค่าการออกตราสารหนี้รวม 21,366 ล้านบาท

ทั้งนี้ ESG bond ที่สามารถขอรับการสนับสนุนดังกล่าวจะต้องออกเสนอขายระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567