PTTGC ลั่นธุรกิจขาขึ้น มาร์จิ้นดีปี’67 กำไรพิเศษขายทรัพย์สิน-ซื้อหุ้นกู้คืน Q4/66

HoonSmart.com>>”พีทีที โกลบอล เคมิคอล” (PTTGC) โชว์ความสามารถในการแข่งขันดีขึ้นเทียบกับบริษัทชั้นนำในต่างประเทศ ภูมิคุ้มกันที่สร้างมานานเริ่มออกดอกออกผล เพิ่มประสิทธิภาพ-ลดค่าใช้จ่ายได้ปีละ 6,000-7,000 ล้านบาท หนุนมาร์จิ้นเพิ่ม  นำทรัพย์สิน 7 แสนล้านบาทสร้างกำไร ดึงพันธมิตรมาร่วมลงทุนและขายออก เผยปี 67 ปริมาณขายโต 10% เตรียมเงินลงทุน 2 หมื่นล้านบาท ไม่ซื้อกิจการขนาดใหญ่  ไตรมาส 4 ปีนี้ดีขึ้นกว่าไตรมาส 3 มีกำไรพิเศษ จากการขายทรัพย์สินส่วนหนึ่ง ซื้อคืนหุ้นกู้เพิ่ม หลังจากซื้อคืนมาแล้ว 200 ล้านเหรียญ ได้กำไร 500 ล้านบาท

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยถึงความคืบหน้าของกลยุทธ์ว่า บริษัทมีความคืบหน้าในการยกระดับความสามารถในการแข่งขัน บูรณาการความยั่งยืนเข้าไปในธุรกิจ  เพิ่มผลิตภัณฑ์ High Value มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ลด 6 แสนตัน ในปี 30 ตามเป้าหมาย  ส่วนธุรกิจรีไซเคิลก็มีการเติบโต หลังจากได้ FDA จากสหรัฐ และ อย.ไทย สามารถขายให้กับบริษัทชั้นนำของโลก คือ  เป๊ปซี่ และโคล่า แนวโน้มบริษัทใหญ่มีความต้องการมากขึ้น  ทำให้ผลการดำเนินงานในปี 2567 ดีขึ้นกว่าปีนี้

ภาพรวมอุตสาหกรรมจะดีขึ้นกว่าปีนี้  ซัพพลายใหม่เพิ่มขึ้น 2% น้อยกว่าปีนี้ และมาร์จิ้นดีขึ้น แต่ความต้องการซื้อขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลก แม้ว่าภาพอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไป มีซัพพลาย 2 แหล่งใหม่ จากที่ผ่านมาจีนเป็นฝั่งดีมานด์ กำลังซื้อรายใหญ่ ปัจจุบันกลายเป็นคู่แข่ง ผลิตได้เอง โรงงานใหญ่เคยใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปี จีนใช้เวลาเพียง 2 ปี สร้างโรงงานได้ดีด้วย เพิ่มกำลังการผลิตจำนวนมาก และซัพพลายใหม่อีกแหล่งมาจากผู้ผลิตน้ำมันเปลี่ยนมาทำปิโตรเคมี landscape หรือภูมิทัศน์เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ความต้องการไม่มาก เพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว คาดการณืไม่ได้ว่าสหรัฐจะ soft landing หรือ Hard landing

สำหรับ PTTGC มั่นใจว่ามีความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้น สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากได้ใช้เวลาสร้างภูมิคุ้มกันมานาน ในช่วงธุรกิจยังดีอยู่ประมาณปี 2561-2562 มาถึงปัจจุบันสิ่งที่ลงทุนไปในการเพิ่มประสิทธิภาพ และลดค่าใช้จ่าย เกิดดอกออกผล ประมาณปีละ 6,000-7,000 ล้านบาท  ซึ่งในไตรมาสที่ 3/2566  มี EBITDA เติบโตดีกว่าในไตรมาสที่ 2 ทำได้ดีกว่าบริษัทในตลาดหุ้นของสหรัฐ และยุโรป ซึ่งยุโรปมีต้นทุนวัตถุดิบแพงกว่า ทำให้ผลงานแย่ลงกว่าเดิมเฉลี่ย 20-30% ส่วนตะวันออกกลางดีขึ้น 10-20% เอเชียใหญ่แย่ลงมาก บางบริษัททรงตัว

“เราเน้นเรื่องความยั่งยืน ไม่ใช่เรื่องรางวัล แต่ทำให้องค์กรแข็งแรงขึ้น ลดต้นทุน ค่าใช้จ่ายได้ ช่วยในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ก็ยังคงมีกำไร เช่นในเรื่องคน  ออก 3 คน รับเพิ่ม 1 คน และเครื่องมือมาช่วย ปรับปรุงวิธีการทำงาน โดยตั้งเป่าลดจำนวนคน 10% 5 ปีจะประหยัดต้นทุนได้ 1.5 หมื่นล้านบาท คงเป็นไปตามเป้า ทำไปแล้ว  8 พันล้านบาท บริษัทมีการลงทุนด้านเทคโนโนโลยี จะได้กำไรปีละ 5,000 ล้านบาท สร้างความแตกต่าง  มีแผนที่จะทรานฟอร์มเมชั่น ปีละ 2,000 ล้านบาท ลดเรื่องคนในช่วง 3-4 ปี  รวม 8 พันล้านบาท หรือปีละ 1 พันล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ 5 ปี ไม่เพิ่มเลย แต่กลับลดอีกปีละ 1-2 พันล้านบาท จากเดิม 4 พันล้านบาท ทำให้ PTTGC ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มปิโตรเคมีของ DJSI ได้ที่ 1 ของโลก มา 4 ปีแล้ว  ปีนี้ก็มีโอกาสได้อีก  รวมถึงการจัดอันดับของ  Ecovadis ด้วย ซึ่งดูความยั่งยืนตลอดสายของซัพพลายเชน ” นายคงกระพันกล่าว

PTTGC มีสินทรัพย์มูลค่ามากถึง 7 แสนล้านบาท ก็เปลี่ยนมาสร้างกำไร โดยการดึงพันธมิตรมาร่วมลงทุน เพื่อลดต้นทุน หรือขายสินทรัพย์ออกไป จากปีก่อนที่มีการขายสินทรัพย์มูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท ทำให้ตัวเลขทางการเงินดีขึ้น ไม่เพียงอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) หรืออัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น ( ROE )  จะค่อยๆเห็นผลในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า   เนื่องจากมีการขายทรัพย์สอนแล้วเช่ากลับคืนมา ได้ส่วนต่างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ PTTGC ยังมีการซื้อหุ้นกู้คืน จำนวน 2,000 ล้านเหรียญ ได้กำไรประมาณ 500 ล้านบาทและลดต้นทุนดอกเบี้ยลงด้วย แนวโน้มในไตรมาสที่ 4 นี้จะซื้อคืนหุ้นกู้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4 เติบโตขึ้นจากไตรมาสที่ 3

ส่วนแผนการดำเนินงานในปี 2567 ตั้งเป้าปริมาณการขาย เติบโต 10% จากปีนี้คาดทำได้ประมาณ  17 ล้านตัน เนื่องจากโรงงานอะโรเมติกส์จะกลับมาเดินเครื่องเต็มกำลัง และจะไม่มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่แล้ว นอกจากนี้ธุรกิจ Allnex คาดว่าจะดีขึ้นตามความต้องการผลิตภัณฑ์ในเอเชีย ยุโรป สหรัฐอเมริกาดีขึ้น รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีหลายตัวก็ดีขึ้นกว่าปี 2566  เช่น โพลีเอทิลีน (PE), อะโรเมติกส์, โอเลฟินส์, กลุ่มเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (specialty) มองภาพรวมธุรกิจปิโตรเคมีได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงไตรมาส 2  แต่มาร์จิ้นยังอยู่ในระดับทรงตัว ส่วนฝั่งโรงกลั่นอาจปรับตัวลงตามค่าการกลั่นที่ชะลอลง

นอกจากนี้ บริษัทฯยังเตรียมงบลงทุนปี 2567 ไว้ประมาณ  2 หมื่นล้านบาท รองรับการลงทุนโรงงานที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและปรับปรุงเครื่องจักร  โดยจะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่  เช่น การเข้าซื้อกิจการ (M&A) เพราะต้องใช้ความระมัดระวังการลงทุน ท่ามกลางความเสี่ยงในปัจจุบัน อาทิ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และสงครามในตะวันออกกลาง