PTT กำไรสต๊อกน้ำมัน 2 หมื่นล. ส่งรัฐ 4.8 หมื่นล.-หนุนลดค่าไฟ

HoonSmart.com>>ปตท.(PTT) และบริษัทย่อย กวาดกำไรไตรมาส 3 รวม 31,297 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22,422 ล้านบาท หรือ 252.64% หลักๆ มาจากกำไรสต๊อกน้ำมัน 20,000 ล้านบาท เผย 9 เดือนแรก นำเงินส่งรัฐกว่า 4.8 หมื่นล้านบาท พร้อมสนับสนุนนโยบายลดค่าไฟช่วยเหลือภาคประชาชน

บริษัทปตท.(PTT) แจ้งผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยงวด ไตรมาส 3 ปี 2566 ว่า มีกำไรสุทธิ จำนวน 31,297 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22,422 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 252.64% หรือมากกว่า100.0% จากกำไรสุทธิ จำนวน 8,875 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน ตามกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง

ทั้งนี้ EBITDA ที่เพิ่มขึ้น โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น สำหรับธุรกิจการกลั่นมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดยหลักจากกำไรสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกลุ่มปตท.มีผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันในไตรมาส 3 ปี 2566 ประมาณ 20,000 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาส 3 ปี 2565 ขาดทุนประมาณ 25,000 ล้านบาท ประกอบกับกำไรขั้นต้นจากการกลั่น(Market GRM)เพิ่มขึ้นจาก 6.8 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาส 3 ปี 2565 เป็น 11.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาส 3 ปี 2566 โดยหลักจากส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันเตากับน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้น

รวมถึง Crude Premium ที่ปรับลดลง และปริมาณขายเพิ่มขึ้น ในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมีปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหลักจากกลุ่มอะโรเมติกส์ที่มีส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบปรับสูงขึ้น

สำหรับกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดยหลักจากธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซฯ มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น จากกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่ต้นทุนค่าเนื้อก๊าซฯปรับลดลงมากตามราคา Pool Gas รวมถึงปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยลดลง

รวมทั้ง ธุรกิจก๊าซธรรมชาตสำหรับยานยนต์(NGV) มีผลการดำเนินงานดีขึ้นจากต้นทุนค่าเนื้อก๊าซฯที่ปรับลดลงตามราคา Pool Gas ประกอบกับราคาขายเพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มธุรกิจอื่นๆ มีผลการดำเนินงานลดลงจากการจำหน่ายธุรกิจถ่านหินในไตรมาส 1 ปี 2566

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. (PTT) กล่าวว่า ผลการดำเนินงาน ปตท. และบริษัทย่อย ใน 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้ 2,337,438 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 79,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% จากช่วงเดียวกันของปี 2565 เนื่องจากขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวลดลงจากความกังวลด้านสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่เริ่มผ่อนคลาย รวมถึงความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) ของกลุ่ม ปตท. ปรับลดลง โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น จากกำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) ที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2565 และผลกำไรสต๊อกน้ำมันที่ลดลง ประกอบกับผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ปรับลดลงจากราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2566 คณะกรรมการ ปตท. มีมติอนุมัติการจ่ายปันผลระหว่างกาลส่งผลให้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และกองทุนวายุภักษ์จะได้รับเงินปันผลรวมประมาณ 14,000 ล้านบาท และเมื่อรวมกับภาษีเงินได้นิติบุคคลของ ปตท. และบริษัทในเครือ อีกประมาณ 34,000 ล้านบาท รวมกลุ่ม ปตท. นำส่งรายได้จากการดำเนินธุรกิจ 9 เดือนแรกของปี 2566 ให้กับรัฐ เพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ แล้วประมาณ 48,000 ล้านบาท

การจ่ายเงินปันผลจะพิจารณาให้เหมาะสมกับกำไร สถานะทางการเงิน สภาพคล่อง รวมถึงแผนการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ที่สำคัญ เพื่อสร้างเสถียรภาพทางพลังงาน สนับสนุนประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง ดังตลอดระยะเวลา 45 ปี ที่ผ่านมา พร้อมมุ่งจุดพลังชีวิต ขับเคลื่อนอนาคต สร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนาธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและก้าวสู่ธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน

นายอรรถพล กล่าวว่า ปตท. ขานรับนโยบายลดผลกระทบค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชน โดยที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. วันที่ 19 ต.ค. 2566 มีมติเห็นชอบให้ ปตท. เรียกเก็บค่าเชื้อเพลิงตามค่าควบคุม และยืดระยะเวลาการชำระหนี้ให้กลุ่มภาคไฟฟ้าในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2566 ตามมติ ครม. พร้อมให้ทยอยจ่ายคืนส่วนต่างในการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับรอบถัดไปตามที่ กกพ. เห็นชอบ มีผลย้อนหลังตั้งแต่เดือนก.ย. 2566 โดยตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน ปตท. สนับสนุนงบประมาณบรรเทาผลกระทบต้นทุนด้านพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นจากภาวะวิกฤตต่าง ๆ ให้กับประชาชนแล้ว กว่า 25,000 ล้านบาท โดยเมื่อช่วงต้นปีนี้ ปตท. ยังได้มีการจัดสรรก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ตลอดจนจัดหา LNG ในราคาที่เหมาะสม ช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าเทียบเท่า 6,000 ล้านบาท รวมถึงช่วยเหลือผู้ใช้พลังงานในภาคส่วนอื่น ๆ ทั้ง LPG NGV และสนับสนุนเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เพื่อร่วมดูแลผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล พร้อมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน