OR กำไรกระฉูด 5,169.66 ล้านบ.Q3/66 รุกขยายธุรกิจตปท.-หุ้นยั่งยืนเรทติ้งAAA

HoonSmart.com>>”ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก” (OR) รวยอู้ฟู่ ไตรมาส 3/66 โกยกำไร 5,169.66 ล้านบาท พุ่งขึ้น 637% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเติบโต 87.55% เทียบไตรมาส 2ที่ผ่านมา  โดยยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันเป็นอันดับหนึ่ง พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจในต่างประเทศ ล่าสุดได้รับการประเมินผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ประจำปี 2566 ที่ระดับ “AAA”

บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 3/2566 มีกำไรสุทธิ 5,169.66 ล้านบาท คิดเป็นหุ้นละ 0.43 บาท เพิ่มขึ้นถึง 637% จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 700.99 ล้านบาท หรือ 0.06 บาทต่อหุ้น และเพิ่มขึ้น 87.55 %  เทียบกับไตรมาสที่ 2/2566 ที่มีกำไรสุทธิ 2,756.47  ล้านบาท หรือ 0.23 บาทต่อหุ้น โดยรวม 9 เดือนปีนี้ มีกำไรสุทธิ 10,901 ล้านบาท หรือ 0.91 บาทต่อหุ้น ลดลงเล็กน้อยเพียง 1.9% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 11,113.91 ล้านบาทหรือ 0.93 บาทต่อหุ้น

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนปี 2566  OR มีรายได้ขายและบริการ 576,682 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 10,901 ล้านบาท ลดลงเพียง 213 ล้านบาท หรือลดลง 1.9% จากรายได้ขายและบริการและ EBITDA ที่ลดลง โดยหลักเป็นผลมาจากราคาจำหน่ายน้ำมันที่ลดลงโดยเฉลี่ยตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีระดับต่ำกว่ารวมทั้งมีความผันผวนน้อยกว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจะมีปริมาณขายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของทั้งประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค

ทั้งนี้ OR ยังคงสามารถรักษาการเป็นผู้นำตลาดน้ำมันและผลิตภัณฑ์หล่อลื่น PTT Lubricants เป็นอันดับหนึ่งในประเทศ และยังคงมุ่งเน้นการสร้างความแข็งแรงของธุรกิจหลัก (Core Business) เพื่อเป็นฐานสำหรับการเติบโตในอนาคต โดยกลุ่มธุรกิจ Mobility ของ OR มีความหลากหลาย ไม่ได้มีเพียงการขายปลีกน้ำมันผ่านสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น เท่านั้น แต่ยังมีธุรกิจด้านพลังงานอื่น ๆ ในกลุ่ม Energy Solution ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายน้ำมันอากาศยานที่เติบโตกว่า 60% เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนของปีก่อน หรือกว่า 80% เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 โดยมีแนวโน้มเติบโตดีจากเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว การจำหน่ายน้ำมันเชิงพาณิชย์ ก๊าซหุงต้ม น้ำมันหล่อลื่น และผลิตภัณฑ์พิเศษ เช่น ยางมะตอย เป็นต้น เช่นเดียวกับ ธุรกิจ Lifestyle ก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปริมาณการจำหน่ายของ Café Amazon เพิ่มขึ้นกว่า 3% และยังสามารถรักษาระดับ EBITDA Margin ได้ในระดับกว่า 25% ถือว่าเป็นธุรกิจที่ยังแข็งแกร่ง และยังมีโอกาสทางธุรกิจอยู่อีกมาก

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของ OR ในไตรมาสที่ 4/2566 มีปัจจัยที่อาจส่งผลการดำเนินการของ OR ได้แก่ สภาพเศรษฐกิจ ทั้งจากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้นต่อเนื่อง และการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดย OR ยังคงมุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น Flagship Station ต้นแบบสถานีบริการในอนาคตที่ครบครันทั้งด้านบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการและทุกไลฟ์สไตล์ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการผลักดันการสร้างยอดขาย และกำไรในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม Energy Solution อีกทั้งยังคงมุ่งแสวงหาโอกาสทางธุรกิจด้านไลฟ์สไตล์ อาทิ ด้านสุขภาพและความงาม (Health & Beauty) ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ และด้านการท่องเที่ยว (Tourism) สำหรับด้านต่างประเทศ OR มุ่งเป้าเพิ่มสัดส่วน EBITDA ของกลุ่มธุรกิจ Global เป็น 15% ในปี 2570 โดยมุ่งเสริมความแข็งแกร่งของการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศที่ OR ดำเนินการอยู่ และเพิ่มความหลากหลายในการดำเนินธุรกิจ ได้วางกลยุทธ์ให้ประเทศกัมพูชาซึ่งยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากเป็นบ้านหลังที่ 2

ล่าสุด OR ได้รับการประเมินผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ประจำปี 2566 ที่ระดับ “AAA” ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อบรรลุเป้าหมายใน 3 มิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยแนวทาง SDG ในแบบฉบับของ OR เพื่อตอบโจทย์เป้าหมาย OR 2030 อย่างมีประสิทธิภาพ